วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Bantering, 9





Bantering, 9
หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกที


ผมกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกที่ค้างคาแถมยังไม่กระจ่างอีกต่างหาก ถึงเราจะคุยกันรู้เรื่องแล้วก็ตามแต่ในใจลึกๆ มันก็ยังรู้สึกอยากรู้อยู่ดี
ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมคือคนที่อาวุธเคยรัก
“จาจาวา” ผมสะดุ้งทันทีหลังจากที่น้ำเสียงเรียกชื่อของตัวเองดังขึ้นมา หันไปมองหน้าคนที่เรียกชื่อของผมก็เห็นว่าเค้ายืนมองผมอยู่จากประตูห้องน้ำ
“ครับ”
“ไปอาบน้ำได้แล้ว ดึกแล้วนะ” ผมยิ้มรับก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมใช้เวลานอนแช่อยู่ในอ่างนานพอสมควรก่อนจะเดินออกมาทั้งๆ ที่ผมบนหัวยังไม่แห้ง ร่างกายเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศเลยครับ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่ห้องแต่งตัวก็เห็นว่าอาวุธกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะตัวประจำของเค้าถอนหายใจออกมาก่อนจะหายเข้าไปในห้องแต่งตัวกลับออกมาก็ยังเห็นว่าเค้านั่งอยู่ที่เดิม
ตอนนี้ร่างกายของผมแทบอยากจะหลับไปเต็มทีแต่ผมทีหัวกลับยังไม่แห้ง
L
ฟุบ!
ระหว่างที่นั่งหันหลังอยู่นั้นบนหัวก็รู้สึกได้ถึงผ้าขนหนูผืนเล็กที่วางลงมาพร้อมกับฝ่ามือหนาของใครอีกคน
“มีอะไรจะถามหรือเปล่า” เหมือนเค้าจะรู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงแต่ที่แน่ๆ ผมไม่กล้าที่จะถามหรอกครับ
“เปล่าครับ”
“เรื่องมิลินหรือเปล่าที่ทำให้จาเป็นแบบนี้” อาวุธเป็นคนพูดประเด็นนี้ขึ้นมาเองก่อนที่จะรั้งตัวผมให้หันหน้าไปมองเค้า “พี่ไม่อยากให้จาคิดมาก” ผมไม่ได้ตอบแต่กลับเบือนหน้าหนีความรู้สึกเจ็บปวดก้าวเข้ามาทันที
นี่หรือเปล่าความรัก
“มิลินแค่อยากเจอนักรบ” ผมไม่ได้ถามแต่พี่อาวุธกำลังจะบอกกล่าวมันออกมาเอง ไม่ใช่ไม่ไว้ใจแต่ผมไม่เข้าใจตัวเองต่างหากว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่
“แล้วพี่ว่าไง” คราวนี้ผมยอมหันกลับมามองเค้าก่อนจะตั้งคำถาม ฝ่ามือที่กำลังเช็ดผมบนหัวให้อยู่ก็หยุดชะงักก่อนที่ร่างสูงจะนั่งลงตรงหน้าผมเปลี่ยนฝ่ามือทั้งสองข้างเป็นรั้งใบหน้าของผมเอาไว้แทน
“พี่ไม่อยากให้มิลินเจอนักรบอีกเพราะเธอทิ้งนักรบไปตั้งแต่ที่เด็กคนนั้นเพิ่งคลอด”
“ผมจะไม่ถามว่าทำไมพี่กับเธอถึงไม่อยู่ด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้แน่ๆ คือพี่รักเธอใช่ไหม” เค้าเงียบไปจนผมต้องพูดต่อ “ถึงพี่ไม่พูดแต่แววตาของพี่มันฟ้อง”
“พี่ยอมรับนะว่ารักผู้หญิงคนนั้นมาก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วพี่ไม่รู้หรอกว่าจาจะเชื่อคำพูดพี่หรือเปล่าแต่ขออย่างเดียวอยู่ข้างๆ และอย่าทิ้งพี่ไปเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะได้ไหม”
“อาวุธผมอยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง”
“หืม!” ไม่พูดเปล่าแต่กลับกระโจนเข้าไปหาเค้าทันทีก่อนจะเป็นฝ่ายจูบเค้าก่อนแต่แค่แตะเท่านั้นนะครับเพราะหลังจากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลยรู้แค่ว่าเป็นฝ่ายที่กำลังถูกนำทางไปที่ไหนสักแห่ง ทำไมผมต้องพิสูจน์มันด้วยจูบ
“รู้ไหมว่าหลังจากนี้มันจะเปลี่ยนไป”
“รู้ครับ”
“แล้วยอมรับได้ไหมจาวา” ร่างสูงที่คร่อมผมอยู่มาพร้อมกับคำถามที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง
“ผมเป็นคนเริ่มนะ”
“หึหึ! งั้นพี่คงไม่ต้องเกรงใจสินะเพราะความรู้สึกของพวกเราสองคนมันเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว”
พรึบ!
ไฟหัวเตียงถูกปิดลงมีแค่ไฟสลัวจากด้านนอกเท่านั้นทุกอย่างมันกำลังจะเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม แต่ผมว่ามันเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่ผมได้รู้จักผู้ชายคนนี้แล้วละครับ
อื้อ
เรากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ผมกลับไม่แคร์และยอมให้มันเป็นไปแบบนั้นมันไม่ใช่อารมณ์หรือชั่วหรือแค่ความต้องการที่อยากจะระบายแต่มันคือความรู้สึกลึกๆ ที่พวกเราสองคนกำลังถ่ายทอด ผมยอมรับว่ากลัวแต่อีกใจหนึ่งผู้ชายคนนี้กลับอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
เสื้อผ้าที่เพิ่งจะใส่กลับถูกถอดออกจนผมรู้สึกได้ถึงร่างกายที่ไม่มีอะไรปกปิดแนบชิดกันอย่างอบอุ่น
“อาวุธ”
“พี่ไม่หยุดแล้วนะกลัวหรือเปล่า”
“มันเจ็บไหม?”
“แรกๆ อาจจะเจ็บแต่เดี๋ยวคงชิน” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ปลอบใจผมพร้อมทั้งริมฝีปากนุ่มแตะลงมา รสจูบที่หอมหวานและโอนโยนกำลังชโลมจิตใจของผมให้ล่องลอย
“อื้อนะไหนบอกไม่เจ็บ” น้ำเสียงที่สั่นเครือเอ่ยออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่แทรกผ่านเข้ามาในร่างกายของผมจนต้องเกร็งตัวสุดขีดความรู้สึกที่ว่าจะทำใจดีสู้เสื้อกลับหายไปจนหมดสิ้นแทบอยากจะหยุดมันซะเดี๋ยวนี้แต่คนตรงหน้าผมกลับไม่ยอม
“อย่าเกร็ง”
“มันเจ็บ” ลมหายใจร้อนผ่าวพร้อมกับริมฝีปากที่อ่อนนุ่มแตะลงมาบนริมฝีปากของผมอีกคนเพื่อปลอบใจแต่ผมว่ามันช่วยไม่ได้แล้วละครับ
“อะอึก ยะหยุด” ผมรู้ว่าไม่ควรจะห้ามแต่จะทำยังไงได้ละในเมื่อมันเจ็บจริงๆ นี่ แถมผมยังไม่เคยด้วยรู้งี้น่าจะถามไอ้คุณหนูมันก่อนเพราะประสบการณ์เยอะเชียว
“พี่ขอโทษ” อาวุธพูดออกมาแบบนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงผมรู้ว่าสิ่งที่ผ่านเข้ามามันก็แค่นิ้วของเค้าเท่านั้นแต่ถ้าไม่ใช่ละมันจะเจ็บขนาดไหนแค่คิดก็กลัวแล้วไม่น่าอยากลองเลย
“อะอึกจะหยุดใช่ไหม” คำถามเหมือนอ้อนวอนไม่อยากให้เค้าหยุดแต่ผมเจ็บนี่ครับ อีกใจก็รู้สึกหวิวๆ แบบแปลกๆ
“ครับ นอนซะนะ”
จุ๊บ >//////////////////<
ริมฝีปากของคนตรงหน้าแตะลงมาบนหน้าผากของผมก่อนที่ร่างสูงจะขยับตัวออกห่างแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของผมเอาไว้ ผมเองก็ไม่ใช่เด็กที่จะไม่รู้ว่าเค้าต้องการแต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อผมเจ็บนี่ครับ
หมับ!
“ผมรู้ว่าพี่ทนไม่ไหวหรอกนะ” รั้งแขนของเค้าเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกหนี
“หืม”
“เอ่ออย่างน้อยแค่ไม่ใส่เข้ามาตอนนี้จะได้ไหม”
“หึเด็กน้อย” อาวุธยื่นมือมาขยี้หัวผมพร้อมกับน้ำเสียงหัวเราะในลำคอ ผมก็ไม่อยากหยุดหรอกครับแต่ความกล้ามันหายไปจนหมดแล้ว
“ทำเป็นเหรอ”
“ถามเหมือนดูถูก ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะถึงจะไม่เคยกับผู้ชายแต่ก็รู้อยู่หรอกว่าต้องทำยังไงบ้างนะ” พูดจบผมก็ก้มลงไปตรงกลางร่างกายของเค้าใจกล้าชะมัดแต่กลับรู้สึกแปลกๆ แถมหน้ายังร้อนไปหมดอีกต่างหากเกิดมาเพิ่งจะเคยทำแบบนี้ครั้งแรก
เอาวะเป็นไงเป็นกัน
“ไม่ต้องหรอก” ไม่ทันที่จะได้ทำน้ำเสียงห้ามปรามก็ดังขึ้นมาซะก่อนแต่ผมกลับไม่ยอมฟังที่ลงมือปฏิบัติทันที ก็เหมือนกับเด็กที่กำลังได้ลิ้มลองอะไรสักอย่างแต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งๆ นั้นคือสิ่งที่เราชอบหรือเปล่า
อื้อ
ผมไม่แน่ใจว่าน้ำเสียงครางกระเซ้าที่ดังขึ้นมานี้มันออกมาจากปากของผมหรือว่าเค้าหรือไม่ก็พวกเราสองคนนั่นแหละครับ ผมรับรู้เพียงแค่ว่าการกระทำทุกอย่างมันถูกกำหนดให้เป็นไปตามความต้องการของร่างกายและส่วนลึกสุดที่ไม่สามารถค้นหามันได้
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วนะตอนนี้พวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่หรือว่าผมกำลังพิสูจน์อะไรแปลกๆ เข้าให้แล้ว
ผมไม่น่าเดินเข้ามาเล่นกับไฟเลย!!!

“จาจาวา จา”
“อื้อ” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยเรื่องชื่อผมพร้อมกับเสียงแดดที่กระทบเข้ากับเปลือกตาทั้งสองข้างที่ยังคงหลับสนิท ผมยังไม่อยากลืมตาแต่ความรู้สึกบางอย่างมันบอกให้ผมต้องตื่นเพื่อพบเจอกับวันใหม่
“อย่าขี้เซา”
“วันนี้มันวันเสาร์นะ” น้ำเสียงอู้อี้ตอบกลับไปแต่ก็ไม่ยอมลืมตาสักที
“จะไม่ลุกขึ้นไปอาบน้ำหน่อยเหรอหรืออยากจะนอนโป๊อยู่แบบนี้”
“หืม!” พอได้ยินน้ำเสียงที่กระซิบใกล้ๆ หูก็ทำเอาโสตประสาททุกอย่างมันทำงานกะทันหันเลยก็ว่าได้ อะไรที่ว่าโป๊หรือเมื่อคืนผมทำจนเผลอหลับไป
“ยอมตื่นแล้วเหรอ?” น้ำเสียงเหมือนกำลังเยาะเย้ยกับแววตาของคนที่นั่งมองผมอยู่ข้างเตียง อาวุธยื่นมือข้างหนึ่งของเค้ามาวางลงบนหัวผมพร้อมทั้งขยี้อย่างเบามือ “ไปอาบน้ำได้แล้ว”
“เอ่อเมื่อคืนคือ”
“เด็กน้อย”
“พูดแบบนี้หมายความว่าไง” รีบเถียงทันทีเมื่อเห็นว่าเค้ากำลังขยับตัวเพื่อที่จะลุกขึ้นจนผมต้องออกแรงรั้งเอาไว้
“จะให้ตอบว่าไงละ”
“ผมไม่ใช่เด็กนะ”
“พี่พูดเหรอว่าจาเป็นเด็ก” ตอบผมได้หน้าตาเฉยมากๆ เลยครับทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งจะพูดอยู่หยกๆ ว่าเด็กน้อย
“ก็มันยังไม่ชินนี่”
“พี่ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ”
“ไม่เชื่อหรอก”
“หึไปอาบน้ำได้แล้วเดี๋ยวก็ปล้ำจริงๆ ซะหรอก” พอเห็นว่าเค้ากำลังก้มหน้าเข้ามาหาผมก็รีบผละออกมาจากเตียงทันทีไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองโป๊หรือเปล่าก่อนจะตรงเข้ามาในห้องน้ำทันทีแล้วก็ล็อกประตูซะแน่นหนาด้วย
แฮ่ก แฮ่ก
เหนื่อยครับเพราะการตื่นเช้ามาแล้วต้องทะเลาะกับผู้ชายเจ้าเล่ห์อย่างอาวุธ
หืมไหนบอกว่าโป๊!!!
“เจ้าเล่ห์แถมยังชอบแกล้งอีกต่างหาก” บ่นถึงคนที่อยู่ด้านนอกถ้าฟังจากเนื้อหาของคำพูดก็เหมือนจะไม่พอใจแต่เปล่าเลยเพราะความรู้สึกบอกว่าผมกำลังเขินแถมแก้มทั้งสองข้างยังแดงอีกต่างหาก
>//////////////////////////<
“เพ้อเจ้อนะจาวาอาบน้ำดีกว่า” อย่างน้อยผมก็ไม่ได้โป๊จนหมดรูปแบบสักหน่อยก็แค่ไม่ได้ใส่เสื้อก็เท่านั้นเองแต่ช่วงล่างยังมีบ็อกเซอร์อยู่นะครับ รีบสลัดมันทิ้งไปก่อนจะเดินไปอาบน้ำที่ฝักบัวแม้แต่สายน้ำเย็นๆ ที่กระทบลงมาบนร่างกายของผมในตอนนี้ก็ไม่สามารถทำให้ความร้อนรุ่มที่มีอยู่หายไปได้เลย
เพราะเค้าคนเดียวเลยอาวุธ

“หายไปไหนแล้วเนี่ยเร็วชะมัด” บ่นกับตัวเองทันทีหลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่พอเดินออกมาจากห้องน้ำเท่านั้นแหละครับปรากฏว่าในห้องกลับไม่มีใครอยู่เลยนอกจากผมคนเดียว
บ่นไปก็เท่านั้นรีบเดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัวก่อนจะรีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินลงไปด้านล่าง จะว่าไปวันนี้ผมก็ตื่นสายมากแล้วแถมยังรู้สึกหิวอีกต่างหาก
“อ้าวคุณหนูมาลัยกำลังจะขึ้นไปตามอยู่พอดีเลยค่ะ”
“มาลัยอาวุธละ”
“ออกไปข้างนอกแล้วค่ะ”
“ไปไหน?” รีบถามทันทีแถมน้ำเสียงยังบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ
“ไม่ได้บอกไว้ค่ะสั่งแค่ว่าถ้าอีกชั่วโมงคุณหนูยังไม่ลงมาให้ขึ้นไปตามด้วย ไปที่โต๊ะอาหารกันดีกว่าค่ะมาลีตั้งโต๊ะรอไว้แล้ว” จ้องหน้ามาลัยทันทีแถมยังเกิดอาการต่อต้านขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยครับ
“ไม่กินแล้ว ไม่หิว”
“ต่อต้านอีกแล้วนะคะ”
“จะไปห้องนั่งเล่น” ไม่สนใจที่มาลัยพูดก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นชั้นล่างที่แยกตัวออกมาจากห้องรับแขก มันเป็นห้องเล็กๆ ที่เมื่อก่อนไม่ได้ถูกใช้งานแต่พอผมเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ไม่นานมันก็กลายเป็นห้องส่วนตัวของผมไปซะแล้วแถมยังต้องห้ามอีกครับ
มันคือข้อตกลงระหว่างผมกับอาวุธหรือแม้แต่คนอื่นๆ ก็ด้วย หากผมไม่อนุญาตใครก็ห้ามเข้า!!!
“ห้ามตามเข้ามานะ”
“ไม่ทานอะไรรองท้องแบบนี้เดี๋ยวก็แย่หรอกค่ะ”
“มันเรื่องของจา”
ปัง!
ต่อต้านอีกจนได้ทั้งๆ ที่หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว ช่างเถอะนอนดูหนังหรือเล่นเกมไปเดี๋ยวมันก็หายหิวเองว่าแต่ห้องนี้ก็มีตู้เย็นอยู่นี่แถมยังมีขนมขบเคี้ยวอยู่อีกเพียบ
ชิส์คิดว่าจะง้องั้นเหรอไม่มีทาง
“นี่แนะๆๆๆ ปังๆๆ ตายซะ ตายๆๆๆๆ”
เล่นเกมครับกำลังมันแต่ไอ้ที่ตายนะมันผมไม่ใช่ตัวร้ายในเกม ทำไมฝีมือในการเล่นถึงได้ห่วยขนาดนี้นะ
เฮ้อผ่านไปตั้งสองชั่วโมงแล้วแถมขนมและน้ำที่ผมเอามาวางไว้ใกล้ๆ มือก็ถูกกินจนจะหมดแล้วเนี่ย
“เบื่อโว้ยยยยยยย!” วางทุกอย่างลงก่อนจะลุกขึ้นไปนอนอยู่บนโซฟาใกล้ๆ ในห้องเล็กนี้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดโทรหาเดือนสิบสองแต่ทว่า
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…’
อ๊ากกกกกกกกก!
ไอ้คุณหนูบ้าตั้งแต่ไปอยู่ตรังเทคโนโลยีไม่เคยจะแตะต้องเลย

ครืด ครืด
บ่นกับตัวเองอยู่ได้ไม่นานโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือก็สั่นขึ้นมาทันทีลองมองดีๆ ก็เห็นว่าคนที่โทรเข้ามาก็คือไทเปก็ยังดีเพราะอย่างน้อยจะได้มีเพื่อนคุยบ้าง
“โทรมาทำไม” รับสายเสร็จก็รีบบ่นทำน้ำเสียงให้เหมือนว่ากำลังรำคาญแต่จริงๆ กำลังดีใจต่างหากที่มีคนโทรเข้ามาคุยด้วย
“งั้นวาง!
“เฮ้ยๆ ทำน้อยใจไปได้”
“น้ำเสียงเหมือนไม่เต็มใจจะคุย”
“อย่าทำตัวน้อยใจเป็นผู้หญิงไปหน่อยเลยไทเป” ลุกขึ้นนั่งพิงโซฟาก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าขนมขบเคี้ยวมากิน “ว่าแต่โทรมาหาเนี่ยมีอะไรหรือเปล่า”
“ได้ข่าวเจอปัญหาหลายด้านก็เลยเป็นห่วงแต่จะว่าไปโทรหาเดือนสิบสองไม่ติดก็เลยโทรมาหามึงแทน”
“เห็นกูมีค่าแค่นี้เหรอไอ้บาไทเป”
“น้อยใจอีกแล้ว”
“น้อยใจบ้าอะไร? ไม่ใช่เดือนสิบสองนะโว้ย” นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมจะกระโดนกัดหูมันทันทีโทษฐานที่เห็นผมมีค่าแค่นี้
“ฮาๆ เหรอครับ”
“ไทเปไอ้บ้า”
“บ่นมากเดี๋ยวตีนกาขึ้นนะ”
“แล้วสนใจกินตีนกูมั้ยไอ้

หมับแพละ!
เฮ้ยโทรศัพท์ลอยได้แถมติดลมบนอีกต่างหากกระจายเป็นชิ้นๆ เลยทีเดียว
“อาวุธ!” รีบเด้งตัวลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะหันไปจ้องหน้าผู้บุกรุก “ใครอนุญาตให้เข้ามา” ขึ้นเสียงต่อครับบวกกับที่กำลังโกรธอยู่ก่อนหน้านี้ด้วย
“นี่มันบ้านฉัน!!!
สรรพนามเปลี่ยนไปจนผมนึกกลัวเลยทีเดียวครับ “เคยเตือนแล้วใช่ไหมว่าอย่าพูดจาหยาบคาย”
“แล้วจะทำไม”
“วัยต่อต้านอีกแล้วเหรอจาวา” เกลียดน้ำเสียงของเค้าในตอนนี้มากๆ เลยทีเดียว ทำไมต้องเปลี่ยนไปขนาดนี้ด้วยนะเนี่ย
“เป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย” ทั้งผมและก็เค้าในตอนนี้ต่างฝ่ายก็ต่างเป็นไฟด้วยกันทั้งคู่
“มาลัยบอกว่าไม่ยอมกินอาหารเช้า”
“โกรธกับเรื่องแค่นี้เหรอ?”
ตึกๆ ตักๆ
ในใจลึกๆ มันกำลังทำให้ผมรู้สึกดีใจเพราะอย่างน้อยๆ ก็อยากหลงตัวเองว่าเค้ากำลังเป็นห่วงผมอยู่
“คิดว่าแค่นี้เหรอ?”
“ไม่โกรธที่ผมไม่เชื่อฟัง”
“ก็รู้นี่แล้วทำไมยังทำอยู่ละ” น้ำเสียงของเค้าฟังดูรื่นหูกว่าเมื่อกี้นิดหน่อยแต่ผมว่าเค้ายังโกรธอยู่นะครับ
“นิดหน่อยเอง”
“พี่ไม่อยากให้ติดเป็นนิสัย” นี่สิถึงจะใช่อาวุธจริงๆ ในตอนนี้พอเค้าใจเย็นทุกอย่างก็ดูสงบลงแต่เวลาที่เค้าโกรธหรือไม่พอใจทุกอย่างก็ดูจะร้ายกาจไปซะหมดเลย
“ครับๆ จาจะค่อยๆ แก้แต่ขอเวลาหน่อยได้ไหม”
“เฮ้อแล้วนี่จะออกไปได้หรือยัง”
“ได้แล้วครับ”
ไม่รู้หรอกว่ากำลังรอให้มาง้ออยู่นะก็แค่มาง้อก็หายแล้ว “แล้วก็โทรศัพท์นะช่วยซื้อให้ผมใหม่ด้วยนะครับคุณอาวุธ”
“หึ!” ไม่ตอบได้แต่แสยะยิ้มออกมาก่อนจะขยี้หัวผมแล้วกอดคอพาเดินออกไปจากห้องต้องห้ามแห่งนี้
ไม่อยากจะพูดถึงจะบอกว่าต้องห้ามแต่อาวุธไม่เคยฟังเลย

ฮาๆๆๆ
เสียงหัวเราะของเด็กนี่!!!
หยุดเดนทันทีครับก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองสบตากับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่ผมจะรีบผละออกมาเงื้อมมือของอาวุธทันที
“เสียงเด็กที่ไหนหัวเราะ”
” ไม่ตอบครับได้แต่จ้องหน้าผม
“พ่อ”
ขวับ!
เสียงเรียกสรรพนามที่ดังขึ้นมาแถมยังชัดเจนกว่าเก่าทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปมอง จนสายตาได้พบเจอกับร่างเล็กของเด็กผู้ชายคนหนึ่งเด็กที่หน้าตาถอดแบบมาจากอาวุธก็ว่าได้แถมแววตายังดูร้ายกาจไม่แพ้กันเลยทีเดียว
“พ่อหมอนี่เป็นใครกันครับ”
เรียกฉันว่าหมอนี่งั้นเหรอ? เด็กบ้านี่นอกจากแววตาขวางโลกแล้วน้ำเสียงและคำพูดยังไม่ชวนให้เป็นมิตรอีกต่างหาก
“นักรบพ่อเคยสอนไปแล้วนี่ว่าให้เรียกคนที่อายุเยอะกว่าพี่”
“แต่ผมไม่ชอบหมอนี่”
“เถียงคำไม่ตกฟาก!!! บ่นคนเดียวครับเด็กคนนี้อาจจะไม่ได้ยินแต่อาวุธคงจะได้ยินเพราะเค้าเองก็หันกลับมามองหน้าผมด้วยเหมือนกัน
“เฮ้อตามมานี่ทั้งสองคนเลยนะ” อาวุธถอนหายใจก่อนจะเดินนำหน้าไป ส่วนผมกับเด็กนี่ก็จ้องหน้ากันเหมือนจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งก่อนที่ต่างฝ่ายต่างทำตัวไม่สนใจกันแล้วเดินตามคำสั่งของอาวุธไป
“เอาละนักรบนี่จาวา” แนะนำไม่ครบนี่ “นักรบ!” ถูกดุครับอันนี้แอบสะใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่อยากแสดงออกมากนักเพราะกลัวว่าจะถูกดุไปอีกคน
“สวัสดี”
“นักรบ”
“สวัสดีครับพี่จา” น้ำเสียงเหมือนอยากจะกลืนหายไปให้ได้เลยทีเดียว เด็กอะไรก็ไม่รู้ร้ายกาจชะมัด
“สวัสดีนะครับน้องนบ”
“ฉันชื่อนักรบนะ!
ฮาๆๆๆ นั่นไงเถียงอีกแล้ว แถมยังแก่แดดถึงขนาดแทนตัวเองว่าฉันกับผมอีกต่างหากครับ
“ทำไมก็ฉันจะเรียกว่านบ”
“ถ้ายังเถียงกันไม่เลิกฉันจะทำโทษทั้งคู่!!!
อูยยยยยยยยยยยย!
เจอคำขู่นี้ไปถึงกับเงียบเลยครับเพราะดูท่าแล้วเค้าจะเอาจริง
“นักรบถ้ายังอยากจะอยู่ที่นี่พ่อก็อยากให้ลูกรู้จักมีสัมมาคารวะและเรียกจาว่าพี่ จาก็ด้วยหัดพูดดีๆ บ้าง”
“ครับ/ครับ” แทบจะประสานเสียงเข้าด้วยกันเลยก็ว่าได้
“มาลี”
“ค่ะ”
“พานักรบขึ้นไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนซะ” อาวุธออกคำสั่งน้ำเสียงเหนื่อยใจมากๆ ก่อนที่นายนบจะถูกมาลีจับมือพาเดินขึ้นไปด้านบน เท่ากับว่าด้านล่างก็เหลือแค่ผมกับอาวุธส่วนคนอื่นๆ ก็หายกันไปหมดแล้ว
อ๋อผมลืมบอกไปว่าคุณพ่อบ้านจอมดุบินไปต่างประเทศพร้อมกับคุณปู่เรียบร้อยแล้วส่วนพี่สาวของเค้านะเหรอ? ผมก็ไมรู้เหมือนกันครับ
“พี่งั้นเหรอ?” พอมั่นใจว่าอยู่กันแค่สองคนผมก็เอ่ยถามทันที
“ใช่!
“ชิส์โอเคจะยอมมีน้องก็ได้”
ใจจริงๆ ก็รู้สึกแปลกนั่นแหละครับที่ต้องมานับญาติกับเด็กคนนั้นทั้งๆ ที่เจอหน้ากันครั้งแรกก็แทบอยากจะฆ่ากันแล้ว มีหวังอยู่ร่วมชายคาเดียวกันไปนานๆ ผมกับเด็กนั้นได้ทำสงครามกันแน่นอน
หมับ!
อยากจะเดินหนีนะครับแต่กลับถูกกระชากข้อมือให้กลับมานั่งลงบนตักของเค้าแทนก่อนที่จะถูกรั้งให้หันไปจ้องหน้าสบตากัน
“ไม่พอใจ น้อยใจหรือว่า
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
“ที่พี่ไม่บอกว่าจริงๆ แล้วตอนนี้จาอยู่ในฐานะอะไรก็เพราะไม่อยากให้นักรบก้าวร้าวใส่”
“ร้ายกาจพอกันทั้งคู่ไม่สงสัยเลยว่าได้เชื้อใครมา” จ้องหน้าเค้าอย่างท้าทายแต่กลับถูกแววตาเจ้าเล่ห์จ้องมองอย่างท้าทายกลับมาอีกจนได้สินะ
“พี่อยากให้นักรบค่อยๆ ปรับตัวและจาเองก็ด้วย”
“พี่จะให้นายนบรู้เองงั้นเหรอ”
“เรียกว่านบอีกแล้วนะ”
“ก็มันสั้นดีนี่และอีกอย่างน่ารักดีออก”
“เดี๋ยวก็ถูกอาละวาดใส่หรอก” ปลายน้ำเรียวยาวจับลงมาที่ปลายจมูกของผมก่อนจะออกแรงบีบอย่างเบามือแล้วส่ายไปมา
“กลัวที่ไหน”
“หึก็ร้ายไม่ต่างกันหรอกนะ”
“แบบนี้สิถึงจะเรียกว่ามวยถูกคู่”
แต่ผมว่าต่อจากนี้ไปบ้านหลังนี้คงวุ่นวายน่าดูเพราะมีเสือสองตนอยู่บ้านหลังเดียวกันแถมยังมีราชสีห์ตัวร้ายอีกตนที่คอยแต่จะตะครุบเสืออย่างผมอีกต่างหาก




อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!
ครบแล้วนะคะ...
นับวันคู่นี้ยิ่งมุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้ง กระดิ่งแมว ฮาาาาาาาาา
อยากอ่านตอนหน้าเร็วๆ แต่ไม่มาก ไม่เม้นก็โหวต อิอิ ^^