Bantering, 8
เรื่องวุ่นๆ
ของคนมีครอบครัว
กรุงเทพมหานคร,
ผมไม่อยากบอกเลยว่าผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์แค่ไหน?
แต่ก็คงสู้พ่อของผมไม่ได้อยู่ดีหลอกจนต้องแยกกันอยู่กับเดือนสิบสองจนได้สินะ
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแต่ที่แน่ๆ พ่อผมคงรักเดือนสิบสองมากแน่นอนถึงขั้นยอมทำตัวเป็นเด็กแบบเนี่ย
จุ๊บ >//////////////<
“คิดอะไรอยู่?”
นี่ผมลืมผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนี้ไปได้ยังไง
ลืมไปด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองต้องยอมกลับมาด้วยหรือเพราะเห็นเค้าบาดเจ็บก็ไม่รู้สิครับ
“เดี๋ยวเหอะ! ยอมกลับมาก็ไม่ได้แปลว่ายอมให้ฉวยโอกาสนะ”
“แต่ก็ยอมให้นอนกอดอยู่ดี”
ว่าแล้วอาวุธก็ซุกหน้าหล่อๆ ของเค้าลงบนซอกคอของผมไม่พอครับยังจะกดจูบเบาๆ
ทำเอาผมจักกะจี้เล่นอีกต่างหาก
“อาวุธบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าจุ๊บตรงนี้”
ผมผลักหน้าของเค้าให้ออกห่างแต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละครับ
“ก็ยอมสักทีสิ”
“ไม่มีทาง! จะฟันแล้วทิ้งนะสิ”
ผมว่าแต่ไม่รู้ทำไมถึงเขินดีนะที่ปิดไฟหมดแล้วแต่ก็ยังพอมีแสงสลัวจากด้านนอกอยู่บ้าง
“ปากดี! แก่แล้วครับคิดได้แล้ว”
“แก่อย่างเดียวไม่พอมีลูกติดอีกต่างหาก”
“แล้วอยากอยู่กับพ่อหม้ายอย่างพี่ปะละ?”
“ถึงพูดว่าไม่อยากอยู่…ก็คงจะบังคับอยู่ดีแถมยังมีทะเบียนสมรสอีกต่างหาก…คนอะไรก็ไม่รู้ทั้งเจ้าเล่ห์แถมขี้โกงที่หนึ่ง”
ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปบีบปลายจมูกโด่งเป็นสันของคนตรงหน้าพร้อมทั้งส่ายไปมาอย่างนึกสนุกแถมเจ้าตัวยังไม่ว่าอะไรอีกสักคำ
ครั้งแรกที่เราเจอกันผมคิดว่าเค้าจะร้ายกาจและเย็นชาแต่ที่ไหนได้คนที่ร้ายกาจมันผมซะมากกว่า…
ผมไม่อยากยอมรับหรอกนะว่ารักเค้า
แต่จะพูดให้ตัวเองดูเสียฟอร์มน้อยที่สุดก็คือเวลาอยู่กับเค้าผมมีความสุขไปอีกแบบหนึ่ง…ผมเคยสงสัยนะว่าทำไมไอ้คุณหนูถึงคบผู้ชายถึงมันจะไม่มั่วแต่ที่แน่ๆ
มันก็คบได้ทั้งชายและหญิง
แต่ตอนนี้นะเหรอ?
เสร็จพ่อเลี้ยงจอมพลไปเรียบร้อยโรงเรียนตรังแล้วครับแถมยังต้องกลายเป็นแม่ของลูกพ่อผมอีกต่างหาก
(-_-)
…ผมจะถือว่าพาเพื่อนไปให้พ่องาบก็แล้วกันครับ!
“แล้วสนใจจะมาดูแลพ่อหม้ายลูกติดแถมฟรีลูกชายหล่อๆ
ซักคนมั้ยครับ” อาวุธรั้งเอวของผมเข้าไปกอดเอาไว้จนแน่น
ผมไม่รู้หรอกว่าที่เค้ากำลังทำอยู่ตอนนี้มันคือละครหรือว่าความรู้สึกจริงๆ กันแน่
แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ผมใจเต้นแรง
>////////////////////<
คนบ้าอะไร ยิ่งแก่ยิ่งทำตัวเหมือเด็ก!
ชีวิตผมต่อจากนี้มันดูวุ่นวายโคตรๆ
ไหนจะถูกตามติดเวลาจะออกไปข้างนอกแถมบางครั้งยังถูกลากไปที่ทำงานเค้าอีกต่างหากจนคนอื่นๆ
พากันมองว่าผมเป็นพวกขี้หึงที่ตามสามีแจ
แต่ถ้าพูดตามหลักความเป็นจริงคนที่บังคับผมมันคือพี่อาวุธไม่ใช่เหรอครับ
“รอพี่แป๊บพี่มีประชุมนะ” เสียงคนตัวร้ายพูดออกมาจ้องหน้าผมแล้วยิ้มหารู้ไหมว่าผมกำลังเคลียร์
“ไม่รอ! ให้จาออกไปเดินเที่ยวแถวๆ
นี้ไม่ได้เหรอครับ” ผมเดินตรงเข้าไปหาเค้าปรับสีหน้าอ้อนๆ
ก่อนจะเกาะแขนพี่อาวุธจนแน่น
ถึงยอมให้ไปก็จะให้เคียวยะตามไปด้วยตลอดจนผมดิ้นไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว
“ไม่กลัวจะถูกจับตัวไปอย่างเมื่อก่อนอีกเหรอ”
มีขู่แต่ก็จริงถึงจุดประสงค์หลักของคนที่จับตัวผมไปจะไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าก็ตาม
แถมผมยงดูออกด้วยว่าเค้ารักพี่อาวุธ
ชิส์! เสน่ห์แรงเหลือเกินพ่อหม้ายลูกติดเนี่ย
“กลัวทำไมเพราะถึงยังไงพี่ก็จะไปช่วย”
ว่าไปนั่นแต่ก็จริงอย่างที่พูด
“ต่อปากต่อคำอีกแล้วนะ”
จุ๊บ >////////////////////<
พี่อาวุธรั้งปลายคางของผมไปจับเอาไว้ก่อนจะกดจูบเบาๆ
ที่ริมฝีปากทำเอาหัวใจเต้นแรงกว่าตอนที่เราจูบกันนานๆ ซะอีก
“แถมปากยังหวานอีกต่างหาก”
“คนบ้า! ตกลงจะให้จาไปไหม”
ผมตีแขนพี่อาวุธไปทีนึงข้อหาทำให้เขินหนักขึ้นเรื่อยๆ
ก๊อก ก๊อก
แต่ไม่ทันที่เค้าจะได้ตอบคำถามของผมเสียงประตูก็ถูกเคาะซะก่อนพร้อมทั้งเคียวยะที่เดินเข้ามา
สีหน้าของเค้าไม่เคยเปลี่ยนไปจากเดิมนอกซะจากใบหน้าเรียบๆ ติดเย็นชานั่นเลย
“มีอะไรรึเปล่าเคียวยะ” พี่อาวุธรั้งเอวผมเข้าไปกอดเอาไว้แล้วหันไปมองหน้าเคียวยะพร้อมทั้งตั้งคำถาม
“คุณมิลินเธอมาขอพบครับ”
ผมไม่รู้ว่ามิลินคือใครแต่ที่แน่ๆ
มันทำให้ฝ่ามือของพี่อาวุธที่กอดเอวผมอยู่กระชับหนักขึ้นจนผมรู้สึกเจ็บ
“กลับไปบอกว่าฉันมีประชุม”
น้ำเสียงของเค้าฟังดูน่ากลัวจังเลยครับ
ดูเยือกเย็นชอบกลแต่ผมก็ไม่อยากจะถามอะไรมากเพราะถึงยังไงก็ไม่รู้จักอยู่ดี
“บอกไปแล้วครับแต่เธอยืนยันว่าจะรอ”
“งั้นก็ให้รอไปแต่ฉันคงไม่ว่างไปพบ”
พี่อาวุธปล่อยมือที่รั้งเอวผมออกก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานของเค้าแล้วหยิบเอกสารบนโต๊ะมาถือเอาไว้
“พาจาไปเดินเที่ยวก่อนละกันถ้าฉันประชุมเสร็จจะโทรตาม”
แต่อย่างน้อยเค้าก็ไม่ลืมผมและยอมให้ออกไปเที่ยวเล่นแม้ว่าจะมีเคียวยะตามติดไปด้วยก็ตาม
“จะไปไหนเหรอครับ”
เสียงนุ่มนวลเอ่ยถามถึงความรู้สึกจะบอกว่ามันฟังดูเย็นชาก็ตาม
ผมไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้ซ้อนอะไรอยู่แต่ที่แน่ๆ
ใบหน้าของเค้าเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว
“ไม่ไปแล้ว ว่าแต่มิลินคือใคร?”
รอถามเค้าก็คงไม่บอกและอีกอย่างฉวยโอกาสตอนที่เค้าไม่อยู่ถามซะเลย
“อย่าไปสนใจเลยครับ”
“ปิดบังงั้นเหรอ” ผมหยั่งเชิงก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ
เพื่อจับสังเกตแต่ที่ไหนได้สีหน้าของเคียวยะมองไม่ออกเลยทีเดียว
ให้ตายสิจะเป็นหุ่นยนต์รึยังไงกันนะเนี่ย!
“โอเคไม่บอกก็ตามใจ งั้นสั่งพิซซ่ามากินได้ไหม?”
ผมเปลี่ยนเรื่องทันทีเพราะถามให้ตายเค้าก็ไม่อกอยู่ดีหากอาวุธไม่สั่ง
“งั้นรออยู่นี่นะครับผมจะออกไปซื้อมาให้”
ถึงสีหน้าจะดูเย็นชาแต่คำพูดของเค้าถือได้ว่าเยอะอยู่เหมือนกันครับ…
สถานะ รอกินกับรออาวุธสินะครับ J
ผมนั่งรออยู่ในห้องนานพอสมควรเคียวยะก็ยังไม่กลับมาสักทีจนรู้สึกปวดฉี่เลยต้องเดินออกไปหาห้องน้ำแต่ที่แน่ๆ
ผมไม่รู้ว่าต้องไปทางไหนเลยต้องเดินไปถามพนักงานที่นั่งอยู่หน้าห้องแทน
“เอ่อผมจะไปห้องน้ำต้องไปทางไหนครับ” เธอดูเกร็ง
นิดหน่อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม
“เชิญทางนี้เลยค่ะเดี๋ยวดิฉันจะพาไป”
เธอว่าก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำผมไป
ตอนแรกกะจะบอกว่าไม่ต้องแต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้วมั้งครับเพราะเธอดันเดินนำผมออกไปซะไกลแล้ว
เดินกันมาได้สักพักผมก็หยุดเดินตามหลังเธอก่อนที่จะหันไปมอง…ภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสี่เหลี่ยมทำให้ผมนึกถึงชื่อของคนๆ
หนึ่งขึ้นมาโดยทันทีและแน่นอนว่าภาพต่อไปที่ผมเห็นทำให้หัวใจเต้นแรงมากๆ
เลยทีเดียว
ตึกๆ ตักๆ
“มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”
เสียงของผู้หญิงคนเมื่อกี้ดังขึ้นมาเรียกสติแต่เสียงหัวใจผมให้กลับมาที่เดิมก่อนที่จะหันไปมองหน้าเธอ
“เปล่าครับ เดี๋ยวผมไปต่อเองคุณกลับไปทำงานเถอะ”
เธอมองหน้าผมก่อนจะเบนสายตามองเลยไปยังห้องสี่เหลี่ยมตรงหน้าแต่มันกลับว่างเปล่าเพราะพวกเค้าเพิ่งเดินออกไปจากห้องกัน
“ค่ะ”
หลังจากที่เธอเดินกลับออกไปมือทั้งสองข้างมันก็กำเข้าหากันจนแน่น
ผมรู้สึกเกลียดสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มากๆ
คำพูดแลการกระทำก่อนหน้านี้สิ่งไหนกันแน่คือเรื่องจริงที่ผมต้องรับรู้
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับผมกลับไปไม่เห็นก็เลยนึกเป็นห่วง”
เสียงของเคียวยะดังขึ้นมาหากแต่ผมไม่ได้หันไปมองหน้าเค้านอกซะจากจะยืนมองห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
นั่นอย่างเดิม
“กลับห้องเถอะครับ”
“เคียวยะ! จานะเกลียดคนโกหกที่สุด…เกลียดความรู้สึกที่ไม่เคยจริงใจแต่ทำไมต้องมาเจออยู่บ่อยๆ
เกลียดความไว้ใจที่ถูกทำลาย”
“คุณจา”
“ผมเห็นอาวุธอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งในห้องนี้
แต่อาวุธไม่เห็นผมหรอกนะ…หึ!”
“ผมว่าคุณควรจะไปฟังจากปากของ…”
“พอเถอะ! ผมไม่อยากรับรู้เรื่องราวของเค้าหรอกนะ
แต่ทำไมเค้าต้องโกหกว่าไม่อยากพบเธอทั้งๆ ที่ลับหลังผมเค้าสองคนกลับแอบมาคุยกัน”
ผมค่อยๆ หันหน้ากลับมามองเคียวยะหยาดน้ำตาที่ไม่สามารถควบคุมได้กำลังเอ่อคลอก่อนที่จะมากขึ้นเรื่อยๆ
จนผมไม่สามารถกักเก็บมันเอาไว้ได้อีก
ผมรับรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้มันเจ็บปวดเหลือเกิน!
“ผมไม่ได้แย่งของของเค้ามาใช่ไหมหรือผมกำลังแทรกกลางระหว่างคำว่าครอบครัวของคนอื่นอยู่”
“ผมไม่สามารถตอบคำถามพวกนี้ได้ดีเท่ากับคุณอาวุธหรอกนะครับ
แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมสามารถมั่นใจได้นั่นก็คือคุณไม่ได้แย่งของของใครเพราะคุณมิลินเธอเป็นฝ่ายเลือกที่จะไปเอง”
“แต่ถ้าผมเป็นลูก
ผมก็อยากให้พ่อแม่ได้อยู่ด้วยกัน”
“แล้วคุณจะคิดแบบนั่นให้ตัวเองร้องไห้ทำไมครับ”
“นายไม่คิดจะปลอบใจฉันแถมยังพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่าอีก
นายนี่มันเย็นชาซะจริงๆ เลยนะเคียวยะ”
ผมว่าสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะเดินเข้าไปหาเคียวยะ เราสองคนสบตากันแต่มันไม่สามารถทำให้หัวใจผมเต้นแรงได้เลย
“กอดได้ไหม? แค่อยากรู้ว่าจริงๆ
แล้วหัวใจตอนนี้มันรู้สึกยังไง”
“ถึงกอดผมก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับเพราะจริงๆ
แล้วคนที่คุณอยากกอดคือคนๆ เดียวกันที่ทำให้คุณร้องไห้ในตอนนี้”
เคียวยะจ้องหน้าผมพร้อมกับคำตอบที่เป็นจริงแต่ผมก็อยากหลอกตัวเองว่ามันไม่ใช่
“แค่อยากรู้สึกว่ามีพี่ชายอยู่ข้างๆ ได้ไหม”
“ครับ! แต่ถ้าคุณอาวุธรู้ผมไม่รับรองความปลอดภัยนะครับ”
เคียวยะเอ่ยคล้ายกับกำลังขู่ผมแต่สองแขนแกร่งกลับอ้ามันออกจากลำตัวเพื่อรอให้ผมกอดเค้า
ผมเคยคิดว่าดวงตาคู่นี้จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเค้าแต่เปล่าเลย
เคียวยะกำลังยิ้ม J
หมับ!
และแน่นอนว่าผมเองก็แทบจะพุ่งเข้าไปกอดเค้าด้วยเช่นกัน
หัวใจไม่เต้นแรงแต่มันกลับรู้สึกอบอุ่น…อย่างน้อยผู้ชายเย็นชาคนนี้ก็เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้ดีมากเลยทีเดียวและผมเองก็คิดว่าเค้าคงจะรับรู้ถึงความรู้สึกของอาวุธได้เหมือนกัน
“ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้”
“แค่ยอมรับความจริงก็พอแล้วครับ”
เคียวยะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนฝ่ามือหนาข้างหนึ่งกำลังลูบหัวของผมอย่างทะนุถนอมหรือไม่ก็คงนึกเอ็นดู
“ตอนนี้รับรู้ได้หรือยังครับ”
“รู้สิว่าต่อจากนี้จะถูกอาวุธหักคอ
รู้ไหมว่าสีหน้าของเค้าตอนนี้มันน่ากลัวมากๆ เลย”
“หืม!”
ผมว่าแต่ก็ยังกอดเคียวยะอยู่อย่างเดิมจนคนที่ได้ยินต้องอุทานออกมาอย่างแปลกใจ “แต่ก็ยังกอด”
“ก็แค่อยากรู้ว่าเค้าจะรู้สึกอย่างผมไหม?”
“ใช่วิธีนี้ประชดผมก็แย่นะสิครับ”
“แล้วยอมให้กอดก่อนทำไม”
ผมว่าก่อนจะกอดให้แน่นขึ้นว่าเดิมทำเหมือนไม่เห็นใครอีกคนที่กำลังยืนมองพวกเราสองคนอยู่
ดีนะครับที่มุมนี้ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปมาสักเท่าไหร่?
“จะยืนกอดกันอีกนานไหม?”
ก็นึกว่าจะเป็นใบ้แล้วไม่ยอมปริปากพูดซะอีก แต่ช่างเถอะครับอย่าไปสนใจนักเลย
“ผมลืมไปว่าจะเข้าห้องน้ำฝากรับมือด้วยนะครับ”
ผมรีบผละออกจากเคียวยะก่อนจะวิ่งออกมาทันที
ผมไม่รู้หรอกว่าห้องน้ำมันต้องไปทางไหนแต่ที่แน่ๆ หนีก่อนหน้าจะดีกว่า
ถึงผมจะรู้สึกแย่ๆ
กับการกระทำของอาวุธมากแค่ไหนก็ตามแต่อย่างน้อยผมก็ควรที่จะมีเหตุผลและรอฟังคำอธิบายจากเค้าสินะครับ
ผมเองก็โตพอที่จะรับรู้ได้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่เค้าต้องหันหน้ามาคุยกันซะมากกว่า
ซ่า…
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จผมก็ออกมาล้างมือ
รู้สึกโล่งไปทีแถมเมื่อกี้ยังลืมไปชั่วขณะอีกต่างหากว่าปวดฉี่ อิอิ J
“คิดว่าแค่นี้จะหนีพี่พ้นงั้นเหรอ?”
เสียงของคนที่ผมพยายามจะเลี่ยงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“แล้วทำไมต้องหนี”
ผมมองหน้าเค้าผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำก่อนจะก้มหน้าลงไปมองที่อ่างแทน
เสียงฝีเท้าของเค้ากำลังย้ำเข้ามาหาผมเรื่อยๆ พอๆ กับเสียงของหัวใจผมที่เต้นแรง
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่กอดกับเคียวยะถึงไม่ใจเต้นแรงก็เพราะเค้าไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับผมเท่ากับอาวุธ!!! ให้ตายสิหัวใจเจ้ากรรมทำไมถึงทำร้ายผมแบบนี้นะเนี่ย
“หึ! จะยั่วโมโหพี่งั้นเหรอ”
“ก่อนจะว่าคนอื่นทำไมไม่ดูตัวเองบ้าง”
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองสบตาเค้าผ่านกระจกบานใหญ่แววตาดุดันจ้องมองผมด้วยเช่นกัน
มันดูน่ากลัวจนหัวใจผมเต้นแรงซะจริงๆ เลยละครับ
“ดูทำไม รู้หรอกว่าหน้าตาดี”
“หน้าตาดีแต่ชอบโกหกมันก็ไม่ดีหรอกนะครับ”
นี่เค้าไม่รู้จริงๆ
หรือยังไงกันว่าผมเห็นแล้วยังมีหน้ามาพูดจายั่วโมโหให้ผมต้องหงุดหงิดอีกต่างหาก
“เฮ้อ! ผมอยากกลับบ้านแล้วคุณเสร็จงานรึยังครับ”
ผมถอนหายใจอดกลั้นความรู้สึกต่างๆ เอาไว้ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องแทบจะทันที
“เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
“ผมไม่คุยในห้องน้ำหรอกนะ”
“ทำไมละในเมื่อพี่เองก็ล็อกประตูแล้ว”
อาวุธรั้งเอวผมเอาไว้ก่อนที่จะบังคับให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเค้า
ตึกๆ ตักๆ
ยอมรับว่าโกรธมากๆ
แต่พอเจอแบบนี้ความรู้สึกพวกนั้นกลับหายไปเกือบหมดเลยทีเดียว!!!
“ปล่อยนะ”
“ไม่ปล่อย! พี่เคยบอกหรือเปล่าว่าห้ามกอดคนอื่นนอกจากพี่นะ”
อาวุธพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นก่อนจะก้มหน้าเข้ามาหาผมจนปลายจมูกของพวกเราสองคนแตะกัน
หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
“…” ไม่กล้าพูดอะไรเลยทีเดียว
“พี่ไม่ชอบ! แถมพี่ยังเป็นผู้ชายประเภทที่หวงของอีกต่างหาก”
“แต่ผมไม่ใช่สิ่งของ”
ตอนนี้ผมกล้าเถียงเพราะรู้สึกขัดใจกับคำพูดของเค้ามากๆ หวงของ! ทำยังกับผมเป็นสิ่งของที่เค้าอยากแตะต้องเมื่อไหร่ก็ได้
“ก็เพราะจาไม่ใช่สิ่งของยังไงละพี่ถึงได้หวงมากกว่าปกติเพราะฉะนั้นห้ามกอดใครอีกหรือแม้แต่คุยถ้าพี่ไม่อนุญาต”
“ไม่มีทาง!” รีบเถียงอีกครั้งเพราะคำสั่งของเค้ามันเข้าขั้นบังคับซะมากกว่า
“ก็ลองดูว่าใครจะแน่กว่ากันพี่หรือน้องจา”
เกลียดจังคำพูดที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไรของเค้าแต่สามารถทำให้ผมรู้สึกได้เนี่ย
“อาวุธนี่มันในห้องน้ำนะคุณจะทำอะไร?”
“พี่ไม่ชอบเลยที่จาเรียกว่าคุณแต่ถ้าถามก็จะบอกว่าจูบ”
“นี่เดี๋ยวสิ อ๊ะ! อื้อ…”
พระเจ้า! ไม่ฟังผมเลยผู้ชายอะไรเนี่ยเข้าใจอารมณ์ยากแล้วยังเอาแต่ใจตัวเองอีกต่างหากแถมยังชอบบังคับขู่เข็ญต่างๆ
นาๆ แต่ทำไมผมถึงยอมทุกทีก็ไม่รู้สินะ…
_______________________________________
กระซิกๆๆๆๆ
คนเข้าชมเยอะมาก แต่ไม่เม้น #คือระ
เดี๋ยวก็ไม่อัพบ้างหรอก!!!!!!!
งอนแล้วนะ T-T