วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

Bantering, 4





Bantering, 4
วันที่เราไม่เข้าใจ


ทุกอย่างเงียบสงบไปจนหมด ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาสักคนหลังจากประโยคของผมจบลง มาลีเดินออกไปจากที่ตรงนี้ราวกับว่ารู้หน้าที่ของตัวเองดี รอยยิ้มของผมจางหายลงเมื่อคนตรงหน้ามองมาด้วยแววตาที่ไม่พอใจแบบสุดๆ
ชิส์!
ผมเบ้ปากให้เค้าแบบไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา ผมไม่สนใจซะด้วยซ้ำว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างแต่ที่แน่ๆ ผมอยากเดินไปให้ไกลๆ จากผู้ชายคนนี้ด้วยซ้ำไป
หมับ!
โอ๊ย!
ผมร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดรู้สึกได้ถึงความปวดร้าวตามแผ่นหลังที่กระทบกับผนังห้อง เงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนตรงหน้าก็แทบจะหลบสายตานี้ไม่ทันเพราะมันดูน่ากลัวมากๆ เลยทีเดียวครับ
“ตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครเคยสั่งสอนเหรอ ทำไมถึงได้ทำตัวเองให้ดูน่ารังเกียจได้ขนาดนี้”
จุกยิ่งกว่าโดนตบหน้าหรือกระชากให้ร่างตัวเองลอยไปติดผนังซะอีกครับ ผมรู้ว่าเค้ากำลังโกรธมากๆ ที่ผมทำตัวแบบนี้ งานนี้ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาเลยทีเดียวเพราะคุณปู่ของเค้าต้องการจะเปิดตัวผม
แต่สำหรับผมมันเป็นแค่งานไร้สาระเท่านั้น ผมไม่เคยต้องการและอยากหนีไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุดด้วยซ้ำไป


“ฉันไม่แคร์หรอกนะถ้าอยากจะแก้แค้นฉัน แต่อย่าทำให้คุณปู่ต้องขายขี้หน้าเพราะเด็กอย่างนาย!!!!!

“เด็กอย่างฉันมันเป็นยังไง? ปกป้องจังเลยนะคุณปู่เนี่ย แล้วเค้ามีสิทธิ์อะไรมาบงการชีวิตคนอื่น ถ้าอยากทำตามที่เค้าชี้ก็เชิญทำไปคนเดียวแต่อย่าลากฉันไปเกี่ยวด้วย!!!
ผมเหลืออดเต็มทีกับสถานการณ์บ้าๆ ที่ได้เจอในตอนนี้จนแทบไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำไป ผู้ชายคนนี้เหมือนไม่มีหัวใจไม่ว่าใครจะสั่งเค้ามักยอมทำตามเสมอโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย
“ฉันเป็นคน ไม่ใช่หุ่นเชิด!
กริ๊ง
พูดจบน้ำตาก็ไหลส่วนมืออีกข้างก็ถอดแหวนที่ใส่อยู่ตรงนิ้วนางข้างซ้ายปาใส่คนตรงหน้าก่อนที่มันจะตกลงพื้น ผมมอหน้าเค้าทั้งน้ำตาก่อนจะวิ่งออกมาผมไม่รู้ว่าทำไมต้องร้องไห้แต่มันรู้สึกเจ็บใจยังไงก็ไม่รู้สิครับ

กรี๊ด!!!
เสียงแขกที่มาร่วมงานร้องลั่นเมื่อถูกผมวิ่งชนจนล้มลงไปนั่งกองกับพื้นพลอยให้คนอื่นๆ หันมามองด้วย ผมกลายเป็นที่จับตามองของทุกคนในงานแสงจากแฟล็ชกล้องถ่ายรูปกระทบเข้ากับใบหน้าตัวเองอย่างต่อเนื่อง น้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหลสักที
“คุณหนูจา” เสียงของมาลีมาลัยร้องเรียกผมพร้อมๆ กันแต่ก็ไม่อาจเรียกสติผมกลับคืนมาได้ ผมปาดน้ำตาของตัวเองทิ้งไปก่อนจะวิ่งออกจากบ้านวิ่งออกมาก็ไม่วายถูกจับตามองจากคนอื่นๆ ไหนตอนแรกบอกว่าจะมีคนมาไม่เท่าไหร่แต่พอเอาเข้าจริงๆ เยอะจนแทบคิดไม่ถึง

“พ่อจาอยากกลับบ้าน” ผมวิ่งร้องไห้ผ่านผู้คนออกมาที่ประตูรั้วด้านหน้าก่อนจะเปิดมันออก แต่สิ่งที่ไม่น่าคาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมีรถตู้คันหนึ่งขับมาจอดตรงหน้าผมพร้อมทั้งชายฉกรรจ์สองคนเดินตรงมาที่ผม
“อย่าเข้ามานะ” ผมร้องห้ามรีบถอยหลังหนีแต่กลับไม่ทันเมื่อตัวเองถูกหิ้วปีกก่อนจะถูกโยนใส่รถตู้
“พวกแกเป็นใคร ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้นะ”

“นี่เหรอเมียของไอ้อาวุธมัน หึ! ไม่คิดว่าจะผิดเพศได้ขนาดนี้หรือเด็กนี่มันมีดีจริงๆ” เสียงปริศนาดังขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าดังมาจากปากของใครแต่ที่แน่ๆ คนพูดก็อยู่ในรถนี้ด้วยแหละครับ ไม่ว่าจะหันไปมองทางไหนก็เห็นแต่ชายฉกรรจ์ตัวโตหน้าดุๆ ดูน่ากลัวพิลึก
TwT
หนีเสือปะจระเข้ กรรมชัดๆ

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ เมียบ้าเมียบออะไร” ผมเปล่งเสียงออกมาแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจเลย ผมเลยต้องแหกปากให้ดังกว่าเดิม

“เงียบ!!!!!
ผมสะดุ้ง! สุดตัวกับน้ำเสียงทรงอำนาจที่ได้ยินซึ่งต่างจากเมื่อกี้มากๆ ไม่อยากนึกถึงภาพหน้าตาของคนพดเลยครับว่าจะโหดมากแค่ไหน L
“หาอะไรไปมัดปากเอาไว้ซะ”

“อ่อยฉาน อื้อๆ “ ไม่ทันซะแล้วครับ สวรรค์ช่วยผมด้วยผมยังไม่อยากตายตอนนี้
พ่อจาอยากกลับบ้าน พ่อมาช่วยจาหน่อยสิครับ จากลัว!!!

อาวุธ
ผมแทบอยากจะฆ่าจาวาให้ตายลงไปตรงหน้าเลยทีเดียว นึกโกรธที่เห็นว่าจาวาชอบทำตัวเองให้มีปัญหากับผมอยู่เสมอไม่ว่าจะสั่งหรือห้ามอะไรก็มักขัดคำสั่งเสมอ แต่ครั้งนี้ผมไม่คิดว่าจาวาจะทำเพราะมันเป็นงานเปิดตัวเค้าเองแท้ๆ แต่ความคิดของผมกลับผิดพลาดไป
ผมก้มลงไปหยิบแหวนที่ตังอยู่บนพื้นขึ้นมาถือเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่แหวนวงนี้ก็คงไม่ไปอยู่ที่นิ้วของจาวาหรอกครับ มันเป็นแหวนที่คุณย่าของผมเคยสวมมาตลอดจนท่านจากไปผมก็ไม่คิดว่าจาวาจะสวมได้แถมยังพอดีอีกด้วย
เฮ้อ! ได้แค่ถอนหายใจกับตัวเองเพราะคุณปู่ต้องไม่พอใจแน่ๆ ที่งานคืนนี้ต้องล่มไป

“อาวุธนี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงของคุณปู่ดังขึ้นมาท่านยืนอยู่ใกล้ๆ กับบันไดมีซินยืนอยู่ด้วย
“แกทำอะไรน้องหรือเปล่า” เหมือนคุณปู่จะไม่โทษว่าเด็กคนนั้นผิดแต่เป็นผมซะมากกว่าที่ผิด ให้มันได้อย่างนี้สิครับผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจาวาสำคัญอะไรกับคุณปู่นักท่านถึงได้รักและหวงขนาดนี้

“ดูปู่จะเป็นห่วงจังเลยนะครับ ทั้งๆ ที่เด็กคนนั้นกำลังทำให้งานที่ปู่ตั้งใจจัดให้เค้าพัง”

“อาวุธ” ซินเรียกชื่อผมเพื่อปราม ผมกับปู่เราสองคนไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไหร่จะว่าไปก็คงเป็นเรื่องที่ผมแอบไปมีเมียและลูกมามั้งครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบแต่เพราะท่านไม่ยอมรับต่างหากจนสุดท้ายคนที่เสียใจกลับเป็นผม
หึ! เหมือนท่านจะมองทุกอย่างจนทะลุไปซะหมด ความรักของผมพังลงพอๆ กับที่ผมก้าวเข้ามาเป็นมาเฟียอย่างเต็มตัวแต่เพราะเด็กคนนี้อีกนั่นแหละที่ทำให้ผมต้องจัดการทุกอย่างให้ดูปลอดภัยที่สุด
ผมอยากจะรู้จริงๆ ตกลงใครกันแน่เป็นหลานของเค้า

“ฉันไม่สนใจหรอกนะเพราะน้องยังเด็กอยู่ รีบไปตามกลับมาซะ”

“คุณปู่!!!

“นี่คือคำสั่ง”
อยากจะขัดคำสั่งของท่านแต่เปล่าประโยชน์เพราะท่านก็เปรียบเสมือนกฎของทุกคนไปซะแล้วเจอฤทธิ์เด็กแสบไปแบบจังๆ แล้วจะรู้สึกว่าเลือกคนผิด

ครืด ครืด
ไม่ทันที่ผมจะเดินลงไปด้านล่างเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาซะก่อน ผมหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าสายที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ส่วนตัว ผมขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะกดรับสาย
“สวัสดีคุณอาวุธ”
“ฮิโรชิ” ผมนึกว่าหมอนี่จะตายไปแล้วซะอีกแต่ที่ไหนได้เปล่าเลย มันไม่ใช่ศัตรูแต่ก็เหมือนใช่นั่นแหละครับ
“ฉันดีใจที่นายยังจำฉันได้ คิดถึงจัง”
“แกต้องการอะไร?” ถ้าสามารถโทรมาหาผมได้ก็ถือว่าเก่งพอตัวเลยทีเดียว แต่อย่าหวังว่าคนอย่างมันจะแค่โทรมาหาผมอย่างเดียว
“ฉันแค่อยากเจอนาย”
“อย่าหวัง”
“งั้นฉันคงต้องลองเล่นกับเมียนายดูหน่อยละกัน” เสียงของฮิโยชิทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเพราะมันเป็นคนที่โกหกเก่งมากๆ จนผมจับผิดไม่ได้เลยว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนโกหก
“แกจับจาวาไปงั้นเหรอ?”
“น้ำเสียงเหมือนจะไม่เชื่อนะอาวุธ”

“ไอ้พวกบ้าปล่อยได้แล้วเจ็บโว้ย! เจ็บ ผมหันไปมองหน้าคุณปู่ทันทีเพราะท่านเองก็มองผมอยู่ก่อนแล้วแถมท่าทางก็อยากจะรู้มากๆ ด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“พูดสิ บอกให้เค้ามาช่วย” เสียงฮิโยชิดังสอดแทรกเข้ามาในปลายสายด้วย

“ไม่! ปล่อยฉัน บอกให้ปล่อย”

“หึ! หรือว่าอยากเล่นสนุกกับฉันถึงไม่ยอมให้อาวุธมาช่วย”

“ก็ดีนะ ลองกับนายดูสักครั้งจะได้รู้ว่าสนุกหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ นายแมร่งโรคจิตทำไมหรือว่าแอบชอบสามีชาวบ้านเค้าอยู่”
เด็กบ้า! อยู่เฉยๆ ไม่เป็นแถมปากยังพาซวยอีกต่างหาก ไม่ยอมร้องขอให้ผมช่วยแต่ดันไปยั่วโมโหฮิโยชิอีกต่างหาก

“ปิดปากไว้ซะคราวนี้นายคงจะเชื่อแล้วนะ ฉันให้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงจะรออยู่ที่โกดังร้างแถวท่าเรือ คงรู้นะว่าต้องมาคนเดียวเพราะฉันอยากเจอแค่นาย”
ติ๊ด!!!
ฮิโยชิมันโรคจิตอย่างที่จาวาพูดไว้จริงๆ นั่นแหละครับโรคจิตมากๆ ด้วย

“โธ่โว้ย!” ผมกับมันเรายังคุยไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ แต่ที่แน่ๆ ฮิโยชิมันกดวางสายไปซะแล้ว



!!!
บรืน,
หลังจากที่ผมรีบขับรถออกมาจากบ้านแถมไม่ยอมปริปากบอกใครสักคำจนเป็นที่จับตามองของทุกๆ คน แต่คุณปู่กับซินก็คงจะรู้ว่าพวกเค้าต้องช่วยผมจัดการเรื่องที่บ้านยังไง ผมรีบขับรถด้วยความเร็วแบบไม่คิดชีวิตเพราะถ้าจาวาเป็นอะไรไป ไม่ใช่แค่คุณปู่ที่จะเล่นงานผมแต่นั่นรวมไปถึงพ่อเลี้ยงจอมพลด้วย เพราะถึงยังไงผมก็รับปากเค้าไปแล้วว่าจะดูแลจาวาให้ดีที่สุดทั้งๆ ที่ตอนนั้นจะมั่นใจว่าจาวาต้องปลอดภัยแต่พอมาถึงตอนนี้ผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วสิครับ
ผมไม่มั่นใจว่าจะดูแลเด็กคนนี้ได้ดีแค่ไหนแต่ถ้าจาวารู้ว่าผมเป็นมาเฟียก็คงต้องกลัวเป็นเรื่องธรรมดาแต่ที่ผมปิดบังเอาไว้ก็เพื่อความปลอดภัยของเค้านั่นแหละแต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่ปลอดภัยแล้วสิครับ
“โธ่โว้ย!” ผมได้แต่สบถออกมาด้วยความโกรธของตัวเอง นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาผมเคยเสียคนรักไปแล้วแม้ว่าเด็กคนนี้ผมจะไม่ได้รักแต่ผมกลับรู้สึกไม่อยากเสียไป มันอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยถึงเธอจะยังไม่ตายแต่เธอก็เลือกที่จะเดินไปจากผม ผลพวงก็มาจากฮิโยชิด้วยเพราะมันคือคนทำลายความรักของผม!!!

ปัง,
ผมคิดว่าตัวเองใช้เวลาไม่นานก็มาถึงยังจุดนัดหมาย วินาทีแรกที่เปิดประตูเข้าไปในโกดังร่าง จาวาที่ถูกมัดปากอยู่จ้องมองมาทางผมด้วยแววตาที่สั่น แดงกร่ำไปหมด ตามร่างกายมีเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเดียวเท่านั้น หากแต่ช่วงล่างผมไม่รู้แต่ที่แน่ๆ กางเกงหายไปแต่ก็ยังดีนะครับที่เสื้อตัวนั้นมันยาวจนปกปิดขาขาวๆ นั่นได้บ้าง
“ฮิโยชิ!!!” มันคือสิ่งแรกที่ผมจะเปล่งออกไปเมื่อมองเห็นสภาพของจาวา ผมค่อยๆ ย้ำเท้าเข้าไปหาคนตรงหน้าเรื่อยๆ ใบหน้าเล็กก็ส่ายหัวไปมาราวกับกำลังร้องห้ามไม่ให้ผมเดินเข้าไป

แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือดังขึ้นมาเรื่อยๆ จนทำให้ผมหยุดเดินเสียงไฟสลัวที่เปิดสว่างอยู่เพียงจุดๆ เดียวนั่นก็คือที่ที่จาวากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ร่างของฮิโยชิก็โผล่ออกมายืนอยู่ใกล้ๆ ผมกำมือเข้าหากันจนแน่นรู้สึกโกรธทุกครั้งที่ได้เห็นหน้ามัน
“ปล่อยเมียฉันซะ!” มันคือสิ่งเดียวที่สมองผมนึกที่จะพูดออกมาเมื่อได้เห็นหน้าฮิโยชิ

“หึ! เมียเด็กคนนี้ถึงใจจริงๆ ด้วยสิ” ผมไม่รู้ว่าที่มันพูดออกมา มันทำลงไปจริงๆ หรือเปล่าแต่การกระทำของมันก็ไม่ต่างไปจากตอนนั้นเลยละครับ

“ปล่อย-เมีย-ฉัน-เดี๋ยว-นี้” ผมเน้นทุกคำก่อนที่จะเดินเข้าไปแต่ทว่าแขนทั้งสองข้างกลับถูกล็อกเอาไว้ด้วยคนของมัน ก็แปลกใจอยู่ว่าเดินเข้ามาได้ง่ายจังแต่เปล่าหรอกเพราะทุกคนกำลังซ้อนตัวอยู่ที่นี่แถมยังดูไม่น้อยคนเลยทีเดียว

“ฉันจะปล่อยเด็กคนนี้ก็ต่อเมื่อนายยอมไปกับฉัน แต่ถ้าไม่เราก็คงต้องเล่นเกมกันหน่อยเกมเมื่อตอนนั้นได้ไหม? ปกป้องแทบตายแต่สุดท้ายหล่อนก็ทิ้งนายไป!!!” รอยยิ้มร้ายกาจดุจปีศาจร้ายเผยอยู่บนใบหน้าสวยๆ ของฮิโยชิ ใบหน้าที่หลอกตาคนอื่นมาทั้งชีวิตว่าตัวเองเป็นคนดีแต่เปล่าเลยเนื้อแท้กลับเหมือนพวกโรคจิตคนหนึ่งที่คอยตามติดผม
“ดูจากแววตานายคงไม่ไปสินะ งั้นอำลากันหน่อยสิ” มันก้มหน้าลงไปหาจาวาก่อนที่จะปลดผ้าที่พันอยู่ออกจากปาก เสียงเล็กร้องตะโกนออกมาทันที

“ฮือๆ อะอึก โง่หรือเปล่า จะมาทำไม” น้ำเสียงพวกนี้ต่างเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลายแถมยังแตกต่างจากตอนนั้นอีกครับ
อาวุธ ช่วย ช่วยฉันด้วย
คำร้องขอและคำผลักไส นี่สินะที่คุณปู่เลือก
“ปล่อยฉันนะ ฉันกับเค้าเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แกมันโรคจิต” ตะโกนใส่ผมเสร็จก็เงยหน้าขึ้นไปมองสบตากับฮิโยชิต่อ น้ำเสียงก็บอกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการจะเป็นอะไรกับผมแล้วจริงๆ

“ปากยังเก่งเหมือนเดิมสินะ” ผมเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาแสยะยิ้มที่มุมปากมองหน้าจาวา

“จัดการ! แค่สิบนาทีพอ ถ้าทนได้ละก็” มันเอ่ยเสียงสั่งลูกน้องออกไปแต่กลับไม่พูดให้จบ “คงรู้สินะว่าต้องอยู่เฉยๆ”

ตุบ!
ผมแสยะยิ้มออกมาอีกครั้งจ้องหน้าฮิโยชิอย่างท้าทายในแววตาที่มองกลับมามีแค่ความโกรธและไม่เข้าใจที่ส่งมาหาผมก็เท่านั้นเอง
ลูกน้องของหมอนี่สองถึงสามคนเดินตรงเข้ามาหาผม ซึ่งไม่ต่างไปจากตอนนั้นเลยละครับ
หึหึ! จะรอดกลับไปไหมเนี่ย?

“นี่! จะทำอะไรเค้า อย่าทำอะไรเค้านะไอ้พวกบ้า! ฮือๆ”
ผัวะ!!!
ทั้งร้องไห้ทั้งร้องห้ามปนกันไปหมด ผมที่ยังคงนั่งคุกเข่ามองหน้าจาวาด้วยรอยยิ้ม แต่ร่างกายกลับถูกกระทำจนรู้สึกเจ็บปวดไปหมดแค่อดทนให้ถึงสิบนาทีก็พอแล้วสินะสุดท้ายผมก็แค่ปกป้องหัวใจของพ่อเลี้ยงจอมพลให้ดีที่สุดก็พอแล้วใช่ไหม
อัก! อุก! ผัวะ!

“ฮือๆ ทำไมไม่สู้ละ” ร้องตะโกนถามออกมาน้ำตานองหน้าไปหมด แต่เลือดที่ไหลออกมาจากหัวคิ้วจนเข้าตากลับทำให้ผมมองหน้าจาวาไม่ค่อยถนัด ผ่านไปกี่นาทีแล้วนะทำไมเวลาที่เดินไปถึงช้าขนาดนี้ผมจะทนได้ถึงสิบนาทีหรือเปล่า

“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายเด็กคนนี้จะทำยังไง? ปกป้องหรือหนีไป” เสียงของฮิโยชิดังขึ้นมา สายตาที่พล่ามัวก็เอาแต่จับจ้องไปยังจาวา ร่างเล็กที่กำลังพุ่งเข้ามาหาผมอย่างไม่คิดชีวิตผมไม่รู้ว่าฮิโยชิต้องการอะไร แต่ที่แน่ๆ แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีเลย

“ยะอย่า” ได้แต่ร้องห้ามด้วยน้ำเสียงที่แหบพล่า

หมับ!
“ออกไปนะ อย่าทำร้ายเค้า พอแล้ว! ฮือๆ ออกไป” ถึงจะร้องห้ามยังไงก็ไม่มีใครฟังหรอกครับถ้ามันยังไม่ครบสิบนาที ผมเอื้อมมือไปคว้าร่างของจาวาเอาไว้ก่อนจะกอดไว้จนแน่นก้มหน้าเข้าไปหาเหมือนเป็นโล่กำบังให้ เสียงสะอื้อร้องไห้ดังออกมาเรื่อยๆ เนื้อตัวสั่นเทาไปหมดแต่ก็ยังวิ่งเข้ามา

“มองหน้าฉัน อุก!” ร่างกายที่บอบช้ำเต็มไปด้วยเลือด ทำไมถึงยังยิ้มออกนี่สินะสิ่งที่ผมไม่เข้าใจตัวเอง

“อย่าตายนะ” เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่จาวาจะประกบปากลงมาที่ริมฝีปากของผม ผมไม่รู้ว่าทำไมแต่ที่แน่ๆ ผมไม่มีแม้แต่แรงจะจูบด้วยซ้ำไปครับลมหายใจที่สัมผัสกันราวกับว่าจะผ่านวินาทีนี้ไปด้วยกันให้ได้
หึ! เคยบอกหรือเปล่าว่าอย่าทำให้ผมรู้สึก ไม่งั้นจะต้องรับผิดชอบไปตลอดชีวิต

“พอแล้ว!!!” เสียงของฮิโยชิร้องห้ามขึ้นมา “หึ! เด็กคนนี้ทำให้ฉันทึ่งไปเลยทีเดียว”

“เป็นอะไรไหม?” ผมไม่สนใจเสียงของฮิโยชิแต่กลับก้มลงไปสบตากับจาวาที่นอนร้องไห้สั่นระริกไปหมดทั้งตัวอยู่ตรงหน้า

“ละเลือด” มือเล็กค่อยๆ เอื้อมไปแตะที่หัวคิ้วของผม ความตื้นกลัวกำลังกัดกินหัวใจของจาวาที่ละน้อย
“อาวุธ” แรกชื่อของผมเสียงแผ่ว ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองผมถี่ๆ แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงลืมด้วยซ้ำไป

“ลุกไหวนะ” ผมค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นยืนรู้สึกลำบากมากครับเพราะขาทั้งสองข้างมันไม่มีเรี่ยวแรงเลย แต่ถ้าผมล้มลงไปอีกคนจาวาจะพึ่งพิงใครอย่างน้อยในตอนนี้ผมก็ควรจะเป็นเสาหลักของเค้าสินะ

“นายมันน่าสมเพชจริงๆ อาวุธ ทั้งที่ควรจะเลือกฉันไม่ใช่เด็กคนนี้” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับฮิโยชิพอๆ กับที่หมอนี่กำลังจ่อปืนมาทางผมพอดี
ปัง!!!
เสียงปืนดังขึ้นมาราวกับเสียงแห่งนรก ทุกอย่างดูแย่ไปหมด...แต่มันจะไม่แย่ไปมากกว่านี้เลยถ้าคนที่ถูกยิงคือผมไม่ใช่จาวา ผมคิดว่าจาจะรอแต่เปล่าเลยเด็กคนนี้กลับลุกขึ้นมาแล้วบังวิถีทางกระสุนที่กำลังพุ่งมาทางผม

"ฮิโยชิ! ถ้าเมียฉันเป็นอะไรไปแกตาย"
ผมได้แต่คาดโทษคนตรงหน้าเอาไว้พร้อมทั้งอุ้มร่างเล็กขึ้นมา ทั้งๆ ที่ตัวผมเองก็โดนซ้อมจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงอยู่แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังฝืนเพื่อจะอุ้มจาวาเอาไว้ ฮิโยชิไม่ได้ตั้งใจจะยิงผมตั้งแต่แรกก็แค่ขู่ แต่เพราะจาว่าลุกขึ้นมาขวางเอาไว้กระสุนปืนเลยถากเข้าที่ข้างต้นขา ที่เงียบไปคงเพราะผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาแน่นอนถึงสลบไปแบบนี้
ปากบอกว่าเกลียด แต่กลับเอาตัวเองมาบังกระสุนแทนแบบนี้มันน่านัก...ยังไม่รวมที่วิ่งเข้ามาห้ามคนพวกนั้นไม่ให้ซ้อมผมอีก

"เดี๋ยว! นายลืมผู้หญิงคนนั้นไปแล้วเหรอ?"

"ไม่! ฉันไม่เคยลืม... แต่ฉันรู้แค่ว่าคนปัจจุบันคือคนเดียวที่ฉันต้องปกป้อง" ผมบอกได้แค่นี้ผมไม่เคยลืม แต่ผมก็ไม่เคยจดจำเรื่องราวพวกนั้นมากจนเกินไป ผมเคยคิดว่าตัวเองจะไม่มีวันเดินขึ้นมาจากอดีตอีก แต่วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณปู่ถึงเลือกเด็กคนนี้...
หึหึ! ถือว่าคุณปู่ของผมทั้งฉลาดและเป็นจอมบงการที่สุดเลย

"แต่ฉันไม่มีวันปล่อยนายไปหรอกนะ กำจัดได้แล้วคนหนึ่งทำไมคนนี้ฉันจะทำไม่ได้"

"อยากเป็นไอ้โรคจิตอย่างที่เมียฉันว่าก็ตามใจ แต่นายไม่มีทางมายืนอยู่ข้างๆ ฉันได้หรอกนะ...ลาก่อน" ผมยืนจ้องหน้าฮิโยชิพร้อมทั้งแสยะยิ้มเยาะเย้ยหมอนี่ ผมรู้ว่าคนอย่างฮิโยชิจะไม่ยอมหยุดแต่เพราะหมอนี่อีกเหมือนกันที่ทำให้ผมเรียนรู้อะไรอีกมากมาย

“ฉันหวังว่าเด็กคนนี้จะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง ถ้ามันเป็นแบบนั้นฝากบอกเค้าด้วยว่าฉันจะไปแย่งนายมาให้ได้!!!

“มองคนอื่นนอกจากฉันได้แล้ว”

“แล้วนายละ? ทำไมถึงไม่มองฉันเป็นคนแรกบ้าง”

“พอเถอะ! เพราะนายเป็นได้แค่คนรู้จัก แต่ตอนนี้ไม่รู้สิน่ะ
พูดจบผมก็ก้มลงมามองหน้าคนที่นอนสลบอยู่ในอ้อมกอด เห็นหัวสีฟ้าๆ นี่แล้วนึกอยากจะตีให้ก้นลายจริงๆ เลยครับ

( -_-!)








____________________________

ครบ %


วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

Bantering, 3





Bantering, 3
ข้อตกลงระหว่างเรา



จาวา
ผมเกลียดขี้หน้าผู้ชายคนนี้มากๆ เค้าทำหน้าตายแถมยังพูดจาไม่ถูกใจผมอีกด้วย วันแรกที่เราเจอกันเค้าก็ขโมยจูบผมไปอย่างหน้าตายเฉยแต่พอมาวันนี้เค้ากลับบอกว่าจะไม่แตะต้องผมอีกแล้ว หรือเพราะผู้หญิงหุ่นเป๊ะเวอร์คนนั้นกันแน่แล้วหุ่นแบบผมมันผิดตรงไหนหรือผิดที่ผมไม่มีนมแถมมีไอ้นั่นเหมือนเค้า
ไอ้บ้า!!!

“เชี่ย! หางานให้กูแล้วสิ แล้วกูไปเป็นผัวใหม่มึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“เหอะนากูยืมตัวแป๊บ”
ผมกับไทเปกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ในขณะที่ตรงหน้าสามีตัวจริงของผมยังยืนอยู่ ก็แค่สามีที่จดทะเบียนสมรสก็เท่านั้นเอง

“หึ!
แค่เนี่ย? ให้ตายสินี่เค้ากำลังยั่วโมโหผมอยู่เหรอให้ตายสิผู้ชายบ้าอะไรเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วชะมัด
“ปู่คงคิดผิดหรือฉันคิดไปเอง”

“คิดอะไรไม่ทราบ ออกไปจากห้องผมได้แล้ว” ผมออกปากไล่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ยิ่งมองหน้าผู้ชายคนนี้มากเท่าไหร่ผมยิ่งเจ็บใจเพราะรู้สึกว่าตัวเองจะสู้เค้าไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

” เงียบครับแต่เสียงฝีเท้าที่ก้าวตรงมาหาผมกับไทเปเรื่อยๆ ดังชัดเจนมากจนผมรู้สึกหวั่นใจยังไงก็ไม่รู้สิครับ
“เริงร่ากับผัวใหม่เสร็จก็อย่าลืมกลับไปทำหน้าที่เมียให้กับผัวจดทะเบียนอย่างฉันก็แล้วกัน!!!

ปัง!
อ๊ากกกกกกกกกก!!!
“แรง!” ไม่ใช่เสียงผมแต่เป็นเสียงของไทเปที่พูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะขำจนผมอยากจะฆ่าหมอนี่แทนไอ้แก่บ้าที่เดินออกไปจากห้อง

“อยากตายเหรอ? ฮึย ตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครเคยหยามน้ำหน้ากูขนาดนี้มาก่อนเลยนะ”

“นี่จาวา อย่าลืมสิว่ามึงไปยั่วเค้าก่อน”

“ก็กูหมั่นไส้!” ผมรีบเถียง

“เหรอ? แต่กูว่าตอนนี้มึงรีบกลับไปเคลียร์กับเค้าจะดีกว่านะ” ผมรีบหันขวับไปมองหน้าไทเปทันที ทำไมผมต้องไปเคลียร์ด้วยละในเมื่อเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน ถึงจะเป็นแต่ก็ไม่ได้รักกันสักหน่อย

“เพื่อ?”

“ยืนยันหน่อยสิว่ามึงไม่ได้น้อยใจอยู่”

“กูเนี่ยนะ” ชี้นิ้วกลับมาที่ตัวเองตีสีหน้าไม่สนโลก ทั้งๆ ที่ในใจตอนนี้กำลังคิดหนักอยู่ว่าจะเอายังไงดี ผมไม่ได้แคร์นะครับแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่หรือจะพูดให้ถูกผมสงสัยมากกว่าว่าเค้าเป็นอะไร

” ไม่ตอบครับแต่ยืนกอดอกเป็นลูกผู้ดียักคิ้วให้ผมท่าทางเหมือนไอ้คุณหนูมากๆ ไทเปเงียบไปสักพักก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ ผมมากกว่าเดิมพร้อมทั้งฝ่ามือที่ยื่นมาตรงหน้าผมแล้วขยี้หัวผมเล่นไปมาเหมือนว่าผมเป็นเด็กน้อยในกำมือมันนั่นแหละครับ
“อย่าทำตัวเหมือนเดือนสิบสองสิ กูละเกลียดชะมัดพวกปากไม่ตรงกับใจเนี่ย? รีบๆ กลับบ้านไปได้แล้วกูจะพักผ่อน”

“ไอ้สัด! กูไม่ใช่ไอ้คุณหนูนะอย่ามาขยี้หัวเล่นสิ” ผมรีบปัดมือมันทิ้งไปก่อนจะถอยหลังหนี
เกลียดท่าทางอวดดีแล้วคิดว่าตัวเองเก่งของไทเปชะมัดแต่ผมกับมันก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่หรอกครับ

“ไม่ต่างกันหรอก เวลาพวกมึงสองคนโกหกจะหลบสายตา ส่วนกูก็จะจับผิดด้วยการขยี้หัวเล่นยังไงละ?”

“เลิกพล่าม กูกลับก็ได้วะ” พูดจบผมก็กระทืบเท้าเดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัวทันที จะว่าไปไทเปมันก็พูดถูกเพราะผมมักเห็นมันทำแบบนี้กับเดือนสิบสองบ่อยๆ เวลาที่อยากจะจับผิด แล้วผมไปเหมือนไอ้คุณหนูนั่นตรงไหนในเมื่อผมไม่ได้โกหก จริงๆ นะครับ

“บ๊าย บาย”
หันไปจิกหน้าใส่มันก่อนจะกระชากประตูห้องให้ปิดลงแล้วเดินไปที่ลิฟต์ ให้ตายสินี่ผมต้องกลับไปจริงๆ งั้นเหรอ?
ฮืออออออออออออออออ! แค่คิดก็ไม่อยากแล้ว

สุดท้ายผมก็กลับมาถึงบ้านจนได้!!!
“คุณหนูจา!!!” พร้อมเพียงมากกับน้ำเสียงของมาลีมาลัยที่รีบวิ่งเข้ามาหาผม นึกรำคาญในบางครั้งแต่มันก็ไม่ได้ยาเสมอไป หันไปมองที่ลานจอดรถก็เห็นว่ารถของเค้าไม่อยู่ที่ผมรู้เพราะแอบนับจำนวนรถของบ้านนี้เอาไว้แล้ว
“ยังไม่กลับมาค่ะ”

“ไม่ได้ถาม!
จิ๊! ปากใส่มาลีมาลัยก่อนจะเดินกระทืบเท้าเข้าบ้านไป เจอเข้าให้กับยายป้าหน้าสาวหุ่นเป๊ะเวอร์กำลังยืนกอดอกมองหน้าผมอยู่ ส่วนคุณลุงพ่อบ้านกับบอดี้การ์ดหน้านิ่งก็ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วย อยากจะเดินหนีชะมัด!!!
ชิส์!!!

“ท่าทางนายจะไม่มีมารยาทอย่างที่อาวุธว่าไว้จริงๆ นั่นแหละจาวา” ผมทำเป็นเหม่อไม่สนใจคำพูดของผู้หญิงคนนี้ ส่วนมาลีมาลัยนะเหรอครับไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอด้วยซ้ำนอกซะจากจะก้มหน้าก้มตาอย่างเคย


“แบบนี้คงต้องสอนกันหนักหน่อย”

“สอนอะไร?” รีบหันไปถามน้ำเสียงหวนๆ แบบเด็กที่ไม่รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่หรือจะพูดให้ถูกก็เป็นเด็กนิสัยไม่ดีประมานนั้นแหละครับ

“หึ!

“ขำอะไรไม่ทราบ อย่าคิดนะว่าไอ้ผู้ชายแก่บ้ากามคนนั้นยกย่องเข้าหน่อยแล้วผมจะไม่กล้าทำอะไรคุณ ฮึย! ทำไมบ้านหลังนี้ถึงน่าเบื่อนัก มีแต่กฎ กฎแล้วก็กฎ ตกลงมาเป็นเมียหรือนักโทษกันแน่ โอ๊ย! อยากจะบ้าตาย”
ทุกคนเงียบกริบกันไปหมดมีก็แต่ผู้หญิงคนตรงหน้าผมนี่แหละครับที่เอาแต่ยิ้มกริ่มท่าทางเหมือนกำลังพอใจอะไรสักอย่าง แต่สายตาเธอกลับไม่ได้มองหน้าผมนอกซะจากจะมองเลยไปด้านหลัง
ขวับ!
ผมเองก็พร้อมจะหันไปมองด้วยเหมือนกัน งานเข้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เมื่อกี้ก็ด่าไปซะเต็มปากเลยทีเดียว อ้าวนั้น! ไม่สนใจผมซะด้วยซ้ำไปก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปเลย

“นี่จาวา” ผมค่อยๆ หันกลับมามองผู้หญิงตรงหน้า กระพริบตาถี่ๆ มองเธอร่างสูงโปร่งหุ่นนางแบบสาวเท้ายาวๆ เข้ามาหาผม “ฉันนะ พี่สาวหมอนั่น”

“วะว่าไงนะ”

“ได้ยินไม่ผิดหรอก อีกอย่างฉันว่าคุณปู่เลือกคนไม่ผิดจริงๆ ด้วยสิโชคดีนะเด็กน้อยเย็นนี้เจอกัน”
พูดจบก็เดินออกไปเลยครับเหมือนวางระเบิดลูกใหญ่เท่าบ้านหลังนี้ไว้ให้ผม ทุกคนเดินออกไปกันหมดแม้แต่มาลีกับมาลัยก็ด้วย เหลือก็แค่ผมคนเดียวกับความรู้สึกหนักอึ้งในสมอง ผมว่าตัวเองด่าผู้ชายคนนั้นไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ยแล้วแบบนี้จะเอาไงต่อดี
เฮ้อ! ถอนหายใจแบบคิดหนักมากๆ เอาวะ! ผิดก็ว่าไปตามผิดแต่ตอนนี้ผมควรจะไปคุยกับเค้าใช่ไหม?

เดินกลับขึ้นมาด้านบนตรงไปที่ห้องก็ไม่มี พอไปที่ห้องก็ไม่มี แล้วตกลงไปอยู่ส่วนไหนของบ้านกันแน่เนี่ย? หรือจะเป็นห้องทำงานไม่ลังเลใจเลยครับที่จะเดินตรงไปหา ผมเคาะประตูพอเป็นมารยาทแต่ก็ไม่ได้รอให้คนด้านในร้องบอกก็เปิดเข้าไปทันทีเห็นว่าเค้ากำลังนั่งก้มหน้าทำงานอยู่ ผมว่าเค้ารู้นะว่าผมเข้ามาแต่ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนก็เท่านั้นเอง
” ผมเม้มปากตัวเองเข้าหากันจนแน่นมือทั้งสองข้างก็สอดประสานกันเพื่อให้กำลังใจตัวเอง แต่ที่แน่ๆ ผมต้องทำให้เค้าหันมาสนใจผมซะก่อน
นี่ไอ้จาจำไว้นะ ถ้าอยากได้ให้ยั่ว แต่ถ้าเค้าไม่สนใจก็ยั่วให้สนซะ…’ คำพูดของไอ้คุณหนูมันลอยเข้ามาในหัวผมทันทีเลยละครับ แต่คนนี้ผมไม่อยากได้แค่มีเรื่องจะตกลงกับเค้านิดหน่อยก็เท่านั้นเอง


หมับ!
ผมเดินตรงเข้าไปหาเค้าก่อนจะคว้าปากกาในมือของคนที่นั่งอยู่เอาไว้พร้อมทั้งรั้งเก้าอี้ให้ออกห่างจากโต๊ะทำงานและพาร่างของตัวเองขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักของเค้าทันทีด้วยเหมือนกัน ผมเกือบตกเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวแต่ที่แน่ๆ ยังดีอยู่ที่เค้ารั้งเอวผมไว้ได้ทัน
“ผมจะไม่พูดว่าขอโทษเพราะมันไม่จำเป็นแต่เราต้องมาตกลงกัน” สายตาดุๆ นิ่งเฉยมองผมด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกจนทำให้ผมประหม่าไปเลยทีเดียวเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เค้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่


“ผมอยากรู้แค่ว่าทำไมเราต้องจดทะเบียนสมรสกัน”

” เงียบมากครับ! ผมเองก็ด้วยพอพูดประโยคเมื่อกี้จบก็เงียบแถมไม่ยอมขยับไปไหนอีกด้วยนอกซะจากว่าเราสองคนจะจ้องหน้ากันอยู่อย่างนี้
“ที่ฉันยอมเพราะมีเหตุผลแต่ถ้าอยากรู้ว่าทำไมเราต้องจดทะเบียนสมรสกันก็คงต้องไปถามปู่ของฉัน”

“มีระยะเวลาไหม?” หลังจากที่เค้าเงียบไปก็พูดขึ้นมาบ้างแต่บางคำพูดผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“อะไร?”

“เราสองคนต้องมีพันธะต่อกันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน” นี่มากกว่าที่ผมต้องการรู้เป็นอันดับต่อไป “ผมอยากมีอิสระไม่ใช่อยู่แต่ที่บ้านไปวันๆ แบบนี้”

“ระยะเวลาฉันไม่รู้หรอกนะเพราะคนตัดสินใจคือปู่”

“หึ! คุณจะบอกผมว่าถ้าท่านสั่งให้คุณไปตายก็จะไปงั้นเหรอ ทำไมไม่ปฏิเสธไปละเพราะถึงยังไงเราสองคนก็ไม่ได้รักกันหรือจะพูดให้ถูกไม่มีวันรักกันด้วยซ้ำ ผมเกลียดคุณและคุณเองก็คงเกลียดผมด้วยเหมือนกัน”

“ก็จริง”
ตึกๆ ตักๆ
แล้วทำไมไอ้หัวใจบ้านี่ถึงต้องมาเต้นแรงเอาตอนนี้ด้วยละครับ ทั้งๆ ที่มันน่าจะเต้นตั้งแต่ที่ผมตัดสินใจกระโดดขึ้นมานั่งคร่อมบนตักของเค้าแล้วละมั้ง

“งั้นเราต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน” รู้สึกหมั่นไส้สีหน้านิ่งๆ แบบนี้จังเลยครับ พอพูดจบผมก็รีบผละออกจากเค้าทันทีแต่กลับไม่สำเร็จเพราะถูกรั้วเอวเอาไว้

“พรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงเปิดตัวนายในฐานะภรรยาของฉัน แต่อย่าดีใจไปเพราะงานนี้คุณปู่ท่านเป็นคนจัดการ”

“ครับ, คุณสามีหุ่นเชิด!” ผมพูดจาเหมือนกำลังเยาะเย้ยเค้าก่อนที่จะผลักอกร่างสูงแล้วเด้งตัวลุกขึ้นจากตักของเค้าโดยทันที ถ้าจะยอมให้คนอื่นบ่งการชีวิตได้ขนาดนี้นะผู้ชายบ้าอะไรก็ไม่รู้
น่าเบื่อ!!!!

วันงาน
ครึกครื้นดีมากครับหลังจากที่เมื่อวานผมกับเค้าก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลยและแน่นอนว่างานวันนี้ถูกจัดขึ้นแบบเรียบง่ายที่บ้านหลังนี้ มีพวกนักข่าวแค่ไม่กี่คนที่ได้รับเชิญรวมถึงพวกญาติๆ ของเค้าซึ่งฝั่งผมไม่มีหรือจะพูดให้ถูกพ่อคงตัดหางปล่อยวัดผมไปแล้วละมั้ง TwT
“ทำไมบ้านเงียบ” ผมร้องถามหลังจากที่ตื่นขึ้นมาในตอนสายๆ ของวันนี้ ในบ้านเงียบก็จริงแต่นอกบ้านที่สวนด้านหลังใกล้ๆ กับสระว่ายน้ำกำลังมีผู้คนมากมายจัดแต่งสถานที่กันอยู่

“คุณอาวุธกับคุณซินไปรับคุณท่านที่สนามบินค่ะ”

“ในที่สุดก็ยอมให้เจอหน้าสักทีนะคุณท่านตัวร้าย” ผมแอบบ่นจนทำให้มาลีกับมาลัยส่งเสียงดุใส่ เพราะเมื่อวานกลางดึกทั้งสองคนอยู่เล่ารายละเอียดของท่านให้ผมฟังจนละเอียดยิบเลยทีเดียว แต่ไม่น่ากลัวอะไรมากมายสักเท่าไหร่?
หึหึ!!!
แบบนี้ต้องสร้างเรื่องสนุกๆ ไว้ต้อนรับหน่อยแล้วสิ
“งั้นก็ออกไปได้แล้ว ใกล้ถึงเวลางานค่อยขึ้นมา”

“แต่ว่า

“มาลี มาลัย”

“รับทราบค่ะ” พอเจอน้ำเสียงดุของผมเข้าหน่อยทั้งสองก็ยอมเดินออกไปอย่างว่าง่าย ผมยิ้มกริ่มอย่างผู้มีชัยเหนือคนอื่นๆ ก่อนที่จะเปิดลิ้นชักหัวเตียงออกมาหยิบยาย้อมผมที่เพิ่งถอยมาใหม่เมื่อวานตอนเย็น อย่าถามว่าออกไปได้ยังไงแต่ที่แน่ๆ ออกไปซื้อมาแล้วล่ะครับ
รู้สึกถึงความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยละครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านจะรับหลานสะใภ้อย่างผมได้หรือเปล่าถ้ารับไม่ได้ผมก็จะได้ไปจากบ้านหลังนี้ซักที แค่คิดก็สนุกแล้วครับ

“จาวาไฟติ้ง!
ผมหายเข้าไปในห้องน้ำเป็นเวลานานพอสมควรเพราะมัวแต่จัดการกับสีผมของตัวเองอยู่ดีนะครับที่ซื้อแบบสระมาไม่งั้นคงจะยุ่งยากไปมากกว่านี้แน่นอน อาบน้ำหรือแช่น้ำเล่นก็ไม่รู้สินะเพราะผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว
“หึหึ! งานนี้สนุกแน่” ยืนมองสภาพหัวของตัวเองที่ผ่านการล้างเรียบร้อยแล้วแบบว่าสีฟ้าอร่ามเชียวครับแต่ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่กว่าตอนกลางคืนจะมองเห็นหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ กลางวันนี้จัดเจนชัวร์

ก๊อก ก๊อก
ยืนมองสภาพของตัวเองอยู่เสียงประตูห้องน้ำก็ถูกเคาะให้ดัง ผมเปล่งเสียงถามออกไปแต่ก็ไม่ยอมเปิดประตูก็ผมยังอาบน้ำไม่เสร็จนี่ครับ
“ใคร?”

“มาลัยเองค่ะ คุณอาวุธสั่งให้เอาเสื้อผ้ามาให้คุณหนูจาค่ะ”

“อ๋อ! วางไว้ที่เตียงเลย”

“คุณอาวุธฝากบอกอีกค่ะถ้าเสร็จแล้วให้รีบลงไปเพราะนี่ก็ใกล้ได้เวลาเริ่มงานแล้ว พวกญาติๆ เริ่มทยอยมากันแล้วค่ะ”

“รู้แล้วๆ”
ว่าไปนั่น รอไปเถอะครับเพราะเวลาของผมยังเหลืออีกเยอะผมไม่สนใจมาลัยก่อนจะหันกลับมาสนใจตัวเองเดินกลับไปที่อ้างอาบน้ำก่อนจะแช่น้ำให้สบายใจต่อไป สรุปเวลาที่ผมอยู่ในห้องน้ำนานเกือบสามชั่วโมงแนะก่อนจะได้เวลาเดินออกมา
ทุกอย่างในห้องดูเงียบสงบมาก ผมเดินไปที่ประตูก่อนจะล็อกลอนให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาวุ่นวาย สายตามองไปที่เตียงก็เห็นว่าชุดสำหรับงานคืนนี้วางอยู่
“อย่าหวังว่าฉันจะใส่ ชิส์!” ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นชุดที่ถูกสั่งตัดวันแรกที่ผมเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้มั้งครับ ผมเลิกสนใจก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัว เลือกหาเสื้อยืดคอวีเน้นย้ำว่าวีสุดๆ มาใส่พร้อมทั้งกางเกงยีนส์ขาสั้น
เสื้อผ้าพวกนี้ถูกสั่งเก็บไปตั้งแต่วันแรกที่ผมซื้อมาแล้วละครับแต่ด้วยอำนาจของตัวเองและความสะตอนิดหน่อยที่รับปากมาลีมาลัยว่าจะใส่แค่ตอนนอนเท่านั้นผมเลยยังมีมันอยู่ในห้อง แต่ขอบอกว่าผมแค่สร้างภาพไปงั้นแหละ
“ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณปู่จะทำยังไง บางทีอาจเปลี่ยนใจไม่อยากได้ผมเป็นหลานสะใภ้แล้วก็ได้นะครับ”
ผมยิ้มขำกับตัวเองอย่างกับคนบ้าก่อนจะสวมเสื้อผ้าพวกนี้ให้เรียบร้อย เดินออกมาส่องกระจกเพื่อสำรวจความไม่เรียบร้อยของตัวเองญาติมาเยอะแล้วไงในเมื่อคนพวกนั้นไม่ใช่ญาติผมสักหน่อย

ก๊อก ก๊อก
“คุณหนูจาค่ะล็อกห้องทำไม?” เสียงของมาลีดังขึ้นมาที่จำได้เพราะน้ำเสียงจะแหลมกว่าของมาลัยเยอะเลยครับ
และอีกอย่างถ้าไม่ล็อกก็อดทำตัวเป็นเด็กมีปัญหานะสิ
“แล้วนี่ใกล้เสร็จยังค่ะทุกคนรออยู่”

“เสร็จแล้วครับ”
J อาวุธก็อาวุธเถอะ เจอจาวาไปแล้วจะหนาว
แอด///

“ว๊าย! ตาเถน!!!” เสียงของมาลีร้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นผมยืนอยู่หน้าห้อง เธอมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเลยก็ว่าได้และที่แน่ๆ สีหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้พอได้เห็นสภาพที่ไม่เรียบร้อยของผม
“คุณหนูจา!!!” เกือบแล้วครับ มาลีเกือบร้องไห้แล้ว

“ไปเถอะเดี๋ยวแขกจะรอ”

“ไม่ได้นะคะ ถ้าลงไปทั้งแบบนี้คุณอาวุธเธอต้องโกรธมากแน่ๆ แล้วนี่ยังจะสีผมคุณหนูจาอีกไปย้อมตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะตอนสายๆ ยังเป็นสีดำอยู่เลย”

“ย้อมเมื่อไม่นานมานี่เอง ไปเถอะจาหิวแล้ว”

“ไม่ได้ค่ะ ไปเปลี่ยนชุดกับทำสีผมใหม่ก่อนค่ะ” มาลีรั้งแขนของผมเอาไว้สุดชีวิตจนแทบจะลมทับลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียว เปลี่ยนชุดนะอาจจะทันแต่ถ้าย้อมผมกลับเป็นสีดำวันนี้คงไม่ทันแล้วมั้งเพราะนี่งานก็เริ่มไปแล้วด้วย

“มาลีปล่อยจา” ผมชุดกระชากมือของตัวเองให้หลุดจากการจับกุมของมาลีแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายเลยทีเดียวเพราะมาลีดึงมือผมเอาไว้แน่นมากๆ
“บอกให้ปล่อยไง”

“มาลีทำไมยังไม่ตามจาวาลงไปอีก!!!
นั่นไงเสียงของมหาอำนาจดังขึ้นมาแล้ว แถมน้ำเสียงของเค้าก็เหมือนกำลังโกรธด้วย “แล้วนี่ยืนฉุดกระชากอยู่กับใคร เด็กคนนี้ขึ้นมาข้างบนได้ยังไง”
ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับว่าทำไมเค้าถึงถามแบบนี้ก็เพราะว่าผมยืนหันหลังอยู่ในขณะที่มาลีกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องสีหน้าท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยทีเดียว เดี๋ยวจะทำให้อึ้งไปมากกว่านี้

“ผมเองครับคุณสามี!
อยากรู้ไหมว่าสีหน้าของเค้าเป็นแบบนี้ ถ้าอยากรู้ก็เดาเลยครับว่าคนที่โกรธมากๆ เค้าจะแสดงออกมายังไงไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือแม้กระทั่งท่าทางก็ตาม

เค้าเงียบและนิ่งมาก จ้องหน้าของผมราวกับว่าอยากจะฆ่าให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียวและแน่นอนว่าผมต้องการให้มันเป็นอย่างนี้ไม่งั้นคงไม่ลงทุนยั่วโมโหเค้าไปหรอกครับ ที่ผมทำไปทั้งหมดก็เพื่ออยากเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ของบ้านหลังนี้และผมก็หวังว่าการกระทำในครั้งนี้จะทำให้ชีวิตผมกลับมาเป็นเหมือนเดิมสักที






____________________________________
ครบ %
ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

#ไม่วายมีคุณหนูเดือนสิบสองแทรกแซง ฮาๆๆๆๆๆ
อย่าไปทำตามนะ ไม่งั้นจะเดินตามรอยชัดๆ เลย


จาวาของเจ้ชอบหาเรื่องใส่ตัวตลอดๆ TwT
#ทำพ่อมาเฟียตัวร้ายโกรธหนักแล้วไง
ตอนหน้าจะพาไปผจญภัยกับมาเฟีย ฮาาาาาาาาาา...
และดงกระสุนปืนนนนนน!!!